วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รู้จัก 'ซิลิโคน' ที่ใช้ในวงการแพทย์






หากจะกล่าวถึงวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในวงการแพทย์ นอกจากเครื่องมือแพทย์ ที่เราพบเห็นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น หูฟังของหมอ มีด เข็มฉีดยา ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดความดัน แล้ว เราก็ยังสามารถพบเห็นวัสดุที่แพทย์มักใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศัลยกรรม

ใช่แล้ว..นั่นคือ ?ซิลิโคน?

ซิลิโคน เป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้กันมากในปัจจุบัน และจะใช้กันมากในวงการแพทย์ทางด้านศัลยกรรม ทั้งตกแต่ง แก้ไขความผิดปกติ และเสริมความงาม วัสดุอย่างซิลิโคน สามารถนำมาใช้ได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งการนำมาใช้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของซิลิโคน

เนื่องด้วยซิลิโคนมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกับวัสดุชนิดอื่น ทำให้เป็นที่นิยมในการนำมาใช้ แต่ถึงกระนั้น ซิลิโคนก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพฉบับนี้ จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ?ซิลิโคน?

ซิลิโคน เป็นวัสดุสารสังเคราะห์โพลิเมอร์ในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีส่วนประกอบที่เล็กที่สุด เรียกว่า ซิโลเซน ชนิดของ ซิลิโคนที่นำมาใช้และพบได้บ่อยที่สุดก็คือ โพลีไดเม็ทธิล ซิโลเซน หรือ พีดีเอ็มเอส

วัสดุอย่าง ซิลิโคน หากมีส่วนประกอบทางเคมีที่รวมตัวกับสารอื่น จะทำให้ซิลิโคนอยู่ ในสถานะต่าง ๆ ได้ เช่น ของเหลว แขวนลอย ของแข็ง หรือ ทำให้มีความยืดหยุ่นใด ๆ ก็ได้ จึงมีการนำซิลิโคนมาใช้กันอย่างกว้างขวาง และมักพบว่ามีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการบินกันมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติคงตัว ทั้งในอุณหภูมิต่ำและ สูง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในวงการแพทย์ได้ เพราะมีปฏิกิริยากับร่างกายน้อย

การนำวัสดุซิลิโคนมาใช้ในวงการแพทย์ มักเกิดประโยชน์สำหรับการนำมาผลิตเป็นท่อสำหรับให้สารทางหลอดเลือด ทำเลนส์ตาเทียม ข้อเทียม นำมาฝังเพื่อเสริมความงาม เช่น เสริมจมูก เสริมเต้านม โหนกแก้ม คาง และการใช้ทำเป็นถุง เพื่อยึดขยายผิวหนัง และแม้แต่ฝังในอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยให้สามารถแข็งตัวได้ในรายที่หมดสมรรถภาพ อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของลิ้นหัวใจเทียมเช่นกัน

ด้วยคุณสมบัติที่มีความคงทน ความตึงผิวต่ำ และไม่เป็น พิษ ทำให้สามารถฝังไว้ในร่างกายได้เป็นเวลานาน โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย ซิลิโคนที่นำมาใช้ทางการแพทย์ได้นั้น ต้องผ่านขบวนการผลิตที่มีความบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารเจือปน และต้องมีมาตรฐานการผลิตเพื่อการอุตสาหกรรม ที่ต้องผ่านกระบวนการการตรวจสอบคุณภาพและทดสอบการใช้ในสิ่งมีชีวิตมาแล้วจึงจะสามารถนำมาใช้กับคนได้

สำหรับความต้องการในเรื่องการเพิ่มขนาดหน้าอกของทั้งเพศหญิงและชาย ทำให้เริ่มมีการใช้ถุงซิลิโคนเสริมหน้าอกกันมาตั้งแต่ 50 ปีก่อน เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเป็นลำดับเพื่อความปลอดภัย จนมีลักษณะใกล้เคียงเต้านมธรรมชาติ ซึ่งมีรายงานว่า การเสริมหน้าอก ด้วยถุงซิลิโคนที่ผ่านมาตร ฐานทางการแพทย์นั้น มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคทางระบบภูมิต้านทาน

แต่ด้วยคุณสมบัติของซิลิโคนที่นำมาใช้ ก็มีอันตราย ที่เกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมัก เกิดจากการใช้งานไม่ถูกวิธี เช่น การทำผ่าตัดที่ขาดประสบการณ์ การผ่าตัดที่ไม่สะอาดเพียงพอ การใช้ขนาดของซิลิโคนที่ไม่เหมาะสม และการขาดความเข้าใจในการดูแลหลังผ่าตัด หรือในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องและรวดเร็ว นั่นก็ทำให้เกิดอันตราย อันเป็นข้อเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงควรระมัดระวัง และศึกษาข้อดีข้อเสียจากแพทย์เสียก่อน

ดังนั้นแล้ว ก็มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะรับการทำศัลย กรรมความงามทั้งที่ใช้ซิลิโคน หรือไม่ใช้ซิลิโคนก็คือ ต้องมีการศึกษาให้รอบด้านทั้งข้อดี ข้อเสีย และควรสังเกตประสบการณ์ของแพทย์ด้วย มิใช่เชื่อจากสื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

การพัฒนาของวัสดุทางการแพทย์ จะมีต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองทั้งการรักษาโรค และการเสริมความงาม โดยน่าจะไปในทิศทางที่มีความปลอดภัย คงทนถาวรมากขึ้น คุณสมบัติใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อจริงมากขึ้น โดยอาจไม่ใช้วัสดุซิลิโคนก็ได้ อาจจะเป็นการปลูกถ่ายเซลล์ของมนุษย์เอง หรือกลุ่มสเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด)

ต้องบอกว่า เทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น..กำลังก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งเสียจริง..

นพ.คชินท์ วัฒนะวงษ์
หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

10 อันดับ Galaxy ที่สวยงามที่สุด

เชื่อว่าหลายๆท่านเป็นคนชอบดูดาว เพราะสวยงามจนไม่อาจละสายตา ทีมงาน เลยนำหัวข้อ "10 อันดับ Galaxy ที่สวยงามที่สุด" มาเสนอกันครับ จะเป็นยังไงบ้างต้องติดตามชมเลยครับ

10. Hoag's Object



กาแล็คซี่รูปร่างคล้ายวงแหวน นักดาราศาสตร์ตั้งคำถามกับมันว่า มันเป็นกาแล็คซี่เดี่ยว หรือกาแล็คซี่คู่ ?? คำถามนี้เป็นที่กระจ่างในปี ค.ศ.1950 เมื่อนักบินอวกาศชื่อ Art Hoag ให้คำอธิบายว่า จุดศูนย์กลางนั้นคือดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มดวงดาวที่มีสีฟ้า ภาพนี้ถูกถ่ายไว้ได้ด้วยกล้องถ่ายอวกาศขนาดยักษ์ ฮับเบิลส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2001 กาแล็คซี่นี้มีความกว้าง 100,000 ปีแสง และมีความยาว 600 ล้านปีแสง




9. M81


M81 เป็นกาแล็คซี่แบบก้นหอยที่มีความใหญ่และสวยงามมาก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกลุ่มดาว Ursa Major ที่ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวที่สว่างสุกใสมากที่สุดเมื่อมองจากโลก มีระยะประมาณ 11.8 ล้านปีแสง




8. Galaxy NGC 3370



กาแล็คซี่รูปก้นหอยนี้ตั้งอยู่ห่างจากกลุ่มดาวลีโอ (Leo) ไปประมาณ 98 ล้านปีแสง รูปนี้ถูกถ่ายได้โดยกล้องฮับเบิลส์ ในปี ค.ศ.1994 การระเบิดซูเปอร์โนว่าแบบ Type Ia ได้เกิดระเบิดขึ้น ณ ศูนย์กลางของกาแล็คซี่นี้



7. Galaxy NGC 1512



กาแล็คซี่แบบก้นหอยซึ่งมีแถบสีนี้อยู่ห่างจากกลุ่มดาว Horologium ไปประมาณ 30 ล้านปีแสง กาแล็คซี่นี้มีความสุกใสมากพอแม้จะดูจากกล้องโทรทรรศน์สมัครเล่นก็ตามแต่ กาแล็คซี่นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 70,000 ปีแสงซึ่งมีขนาดพอๆกับทางช้างเผือกของเรา น่าสังเกตว่าใจกลางของกาแล็คซี่นี้เป็นคล้ายๆกับวงนิวเคลียร์รอบๆ



6. Supernova 1987A



2 ทศวรรษที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจุดที่มีการระเบิดที่สว่างไสวที่สุดในรอบ 400 ปีที่ผ่านมา ดาวที่ถูกกำหนดไว้นั่นคือ Supernova 1987A ในรูปนั้นแสดงถึงขอบเขตทั้งหมดของกาแล็คซี่แห่งนี้ วงแหวนรอบๆในรูปนั้นคาดการณ์กันว่าน่าจะมีระยะประมาณ 20,000 ปีแสง หลังจากการระเบิด รูปนี้ถูกถ่ายโดยกล้องฮับเบิลส์ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2006




5. Grand spiral galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม NGC 123 กาแล็คซี่นี้เป็นกาแล็คซี่ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ดาวมาก มายและฝุ่น เสมือนคล้ายกับก้นหอย




4. The Whirlpool galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Messier 51a , M51a , NGC 5194 กาแล็คซี่วังน้ำวนแห่งนี้อยู่ห่างจากกลุ่มดาว Canes Venatici ไปประมาณ 23 ล้านปีแสง กาแล็คซี่นี้รวมไปถึง NGC 5195 ซึ่งเป็นกาแล็คซี่ข้างเคียงนั้น สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายแม้จะมองจากกล้องโทรทรรศน์สมัครเล่น และทั้ง 2 กาแล็คซี่นี้มักจะสามารถมองเห็นได้จากกล้องสองตา กาแล็คซี่นี้เป็นที่นี่ยมในหมู่ของนักดาราศาสตร์ระดับสูงที่ซึ่งต้องการทำ ความเข้าใจกับโครงสร้างและการมีปฏิสัมพันธ์ของกาแล็คซี่อีกด้วย




3. 2MASX J00482185-2507365 occulting pair



กาแล็คซี่นี้เป็นกาแล็คซี่คู่ที่ซ้อนกันที่พบในบริเวณใกล้เคียงกับกาแล็คซี่ NGC 253 (กาแล็คซี่ช่างแกะสลัก) กาแล็คซี่ทั้งคู่นี้อยู่ห่างไกลจากโลกมากกว่า NGC 253




2. Black Eye galaxy



กาแล็คซี่รูป ก้นหอยที่อยู่ในกลุ่มดาว Coma Berenices , Messier 64 หรือเป็นที่รู้จักที่สุดในนาม "Black Eye" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "Sleeping Beauty galaxy เป็นที่รู้จักอย่างดีในหมู่ของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นเพราะว่าสามารถมองเห็น ได้อย่างชัดเจนจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก




1. The Sombrero Galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม M104 หรือ NGC 4594 เป็นกาแล็คซี่ที่อยู่ในกลุ่มดาว Virgo มันมีใจกลางที่สว่างไสวมาก และปกติมันมักจะโป่งนูนขึ้นมา มีขนาดความใหญ่ประมาณ +9.0 ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ด้วยความที่ศูนย์กลางมันมีขนาดใหญ่มาก และการที่โป่งนูนมาก ทำให้มันดึงดูดนักดาราศาสตร์ระดับสูงให้หันมาสนใจมันเป็นอย่างดี จึงทำให้มันกลายเป็นกาแล็คซี่ที่สวยงามที่สุด เท่าที่มนุษย์เคยค้นพบมา



ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Toptenthailand.com

ความหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก

ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

13 เลขนี้ มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน ?ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย? ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี ?ตัวเลข? ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า ?เก้า? ที่พ้องกับคำว่า ?ก้าว? อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ ?ทำบุญ? อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย

แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้

สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน ?ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย? ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ที่มา : มติชน

ชนิดของทะเบียนรถและความหมาย

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า

1.รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน รถยนต์รับจ้างสามล้อ รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ได้แก่ รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่ใช้รับจ้างระหว่างจังหวัด โดยรับส่งคนโดยสารได้เฉพาะที่นายทะเบียนกำหนด

- พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเหลืองสะท้อนแสง

- ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น

สีแดง สำหรับรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด

สีดำ สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์

สีเขียว สำหรับรถยนต์รับจ้างสามล้อ

สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง

2.รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า

รถยนต์บริการธุรกิจ เช่น รถที่ใช้ขนคนในสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ และรถโรงแรม

รถยนต์บริการทัศนาจร เช่น รถนำเที่ยวของบริษัททัวร์ โดยรถพวกนี้

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็นสีขาว

3.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ พวกรถส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเก๋ง รถตู้ รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ รถ MPV หรือรถ SUV โดย

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาวสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น

สีดำ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์

สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน

สีเขียว สำหรับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล

สีแดง สำหรับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล

หมายเหตุ จะมีแผ่นป้ายทะเบียนชนิดพิเศษ พวกเลขสวย โดยจะเป็นป้ายที่ออกให้ประมูล ซึ่งจะมีสีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียน หมายเลขทะเบียน และตัวอักษรต่างไปจากแผ่นป้ายทะเบียนปกติ และแต่ละจังหวัด สีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียนก็จะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก (ยกเว้นรถสามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ ไม่มีป้ายพิเศษนี้)

4.รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีส้มสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลข และขอบป้ายเป็นสีดำ

5.รถยนต์ของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต และรถจักรยานยนต์ของคณะผู้แทนทางการทูต

พวกรถทูต ลักษณะป้ายจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ท ตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วก็เลขทะเบียน ตัวอย่างเช่น รถทูตญี่ปุ่นก็จะเป็น ท44-9999

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาว (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง)

-ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีดำ

6.รถยนต์ของบุคคลในหน่วยงานพิเศษของสถานทูต ในคณะผู้แทนทางกงสุล ในองค์การระหว่างประเทศ หรือทบวงการชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย และรถจักรยานยนต์ของบุคคลข้างต้น ลักษณะป้ายก็เหมือนรถทูต แต่ต่างกันตรงที่รถในหน่วยงานพิเศษของสถานทูตจะใช้ตัวอักษร พ ส่วนรถกงสุลจะใช้ตัวอักษร ก ส่วนรถของสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ในไทย จะใช้ตัวอักษร อ และ

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีฟ้า (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง)

-ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีขาว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ.2547

ส่วนแผ่นป้ายแดง พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 กำหนดให้ขับขี่ได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

จะนำมาขับในถนนหลวงไม่ได้เว้นแต่ได้รับอนุญาต

จุดประสงค์การใช้งานรถป้ายแดงคือ

1.รถมีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม

2.เป็นรถใหม่


ที่มา : tamdee.net

2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ?

2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ? (ไทยโพสต์)

ตามปฏิทินของชนเผ่ามายาที่ทำไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ออกคำทำนายไว้ว่า ปี พ.ศ.2555 หรือ ค.ศ.2012 จะเป็นวันอวสานโลก ถึงขนาดทำเป็นหนังฉายให้คนทั้งโลกได้ดูสุดยอดมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงปี 2012 ผลจากความแปรปรวนของสุริยะจักรวาลและความผิดปกติของแสงอาทิตย์

ด้านนักวิทยาศาสตร์ก็มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องจักรวาลและอวกาศ ได้ค้นพบความวิปริตของระบบสุริยะจักรวาลที่ส่งผลต่อทั้งโลก ทั้งพายุฝน น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ มีผู้สังเวยชีวิตมหาศาล แล้วตอนนี้ที่หิมะและอากาศเย็นยะเยือกกระหน่ำยุโรป ก็คาดเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

ปี 2012 จะเป็นวันอวสานโลกจริงตามคำทำนายที่ชนเผ่ามายาระบุไว้หรือไม่....ไม่มีใครรู้

แต่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการออกแบบเครื่องตรวจจับคลื่น ไมโครเวฟอินฟาเรด องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา เจ้าของรางวัลวิศวกรดีเด่นจากนาซา ในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในระบบตรวจจับพลังงานคลื่นไมโครเวฟจากนอกโลก เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคนที่ออกมาเตือนให้ทุกคนทราบถึงความปั่นป่วนของ ระบบสุริยะจักรวาลที่จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อโลกโดยตรง และที่งานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด"

เขาบอกว่า จากการศึกษาไม่ใช่ ปี 2012 แต่เป็นปี 2013 ที่โลกจะเผชิญหายนะสูงสุด แม้จะไม่ตรงกับวันสิ้นโลกในปฏิทินของชาวมายา แต่ก็ได้ความว่า อีก 3 ปี พวกเราไม่รอดแน่ เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ

ดร.ก้องภพ ให้ดูภาพเกี่ยวกับโลก ทางช้างเผือก ระบบสุริยะ และกาแล็กซี่ของโลก พร้อมระบุสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากการศึกษาและรวบรวม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์การนาซาที่กำลังทำงานอยู่ และ เขาบอกว่า ปี 2556 หรือ ค.ศ.2013 เป็นปีที่จะเกิดโนวาการระเบิดที่มีพลังงานมากที่สุด มันจะปลดปล่อยพลังงาน มหาศาล เพราะมีแนวโน้มว่าปฏิกิริยาพระอาทิตย์จะขึ้นสูงสุดในต้นปี 2013 นี้ และเกิดการพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดทั้งความร้อนสูงและการหดตัวของระบบสุริยะ

ช่วงนั้นดวงอาทิตย์โคจร ตัดผ่านทางช้างเผือกในทุก ๆ 33-35 ล้านปีพอดี ซึ่งทางช้างเผือกมีมวลของดาว 2,000-4,000 ล้านดวง หากเกิดการบีบหดตัว ดวง ดาวและอุกกาบาตบางส่วนจะกระเด็นเข้ามาในระบบสุริยะ ซึ่งเมื่อ 35 ล้านปีที่ แล้วเป็นช่วงที่มีอุกกาบาตเข้ามาเยอะ แต่ความเสี่ยงจะมากกว่า 10 เท่า ในปี 2013

"ตลอดระยะเวลา 10-20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียทำงานองค์การอวกาศรัสเซียเทียบเท่านาซา สำรวจระบบสุริยะ พบมีการเปลี่ยนแปลงขอบด้านนอกสุดของระบบสุริยะ โดยวัดปริมาณความสว่างสูง ขึ้น 1,000% มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เชื่อว่ามีพลังงานบางอย่างเข้ามาในระบบสุริยะ นาซาเองก็พบการเปลี่ยนแปลง เช่นกัน ภาพถ่ายจากดาวเทียม Imax ที่โคจรรอบโลก ปรากฏพลังงานที่เล็ดลอดเข้ามาในะบบสุริยะ เดินทางด้วยความเร็วสูง แนวที่มี พลังงานรั่วใกล้กับทางช้างเผือก แล้วยังค้นพบว่า เมื่อวัดแกนพลังงานนี้มี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในระยะ 6 เดือน ไม่ใช่ลักษณะค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์"

ดร.ก้องภพ ให้ข้อมูลอีกว่า นอกจากรายงานของนาซายืนยัน การบินอวกาศยุโรปยังมีภาพแบบร่างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่และความร้อนสูง มากเคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์ แล้วยังมีข่าวอย่างเป็นทางการระบุการบีบอัดของชั้นขอบนอกระบบสุริยะ จะทำให้พลังงานรังสีคอสมิกเข้ามาในระบบสุริยะมากเป็นพิเศษ ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนโลก

นอกจากนี้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุดในรอบ 8,000 ปี และการที่นาซาส่งดาวเทียมโคจรที่ขอบด้านนอกเพื่อวัดความดันลมสุริยะช่วงปี 2547-2551 พบว่า ความเร็วลมสุริยะลดลงมาก ผลจากพลังงานบางอย่างเข้ามาบีบอัดลมสุริยะให้ลดลง สอดรับกับข่าวล่าสุดยืน ยันมีการเปลี่ยนแปลงด้านนอกสุดของระบบสุริยะ ส่งผลให้ความเร็วลมสุริยะลดลง 20 กิโลเมตรต่อวินาที ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2550 เป็นต้นมา และในตอนนี้ดาวเทียมวัดความเร็วลมสุริยะพบว่าลดลงถึง 0 แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ถึง 4 ปี

"ดวงอาทิตย์มีวัฏจักร ทุก ๆ 11 ปี จะมีการพลิกกลับขั้วของสนามแม่เหล็กและเป็นช่วงที่เกราะป้องกันดวงอาทิตย์ ต่ำสุด คาดการณ์ว่าจะเกิดปี 2013 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรง จากการสำรวจของดาวเทียม ช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาสูงสุด ทั้งฝุ่นละอองและอุกกาบาตเข้ามามากเป็นพิเศษ มีผลกระทบต่อดาวเคราะห์ทุกดวง" วิศวกรอาวุโสไทยองค์การนาซา กล่าว

เขายังให้ภาพความปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะถ้วนหน้า ตั้งแต่ดาวพลูโต ที่พบความกดอากาศเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ภาพดาวเนปจูนแสดงให้เห็นความสว่างจ้าของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ดาวยูเรนัสก็เช่นเดียวกัน ความสว่างเพิ่มขึ้น กลุ่มเมฆมาก และมีการพลิกกับขั้วของสนามแม่เหล็ก ดาวเสาร์มีการเปลี่ยนแปลงในแนวเส้นศูนย์สูตรและเกิดปรากฏการณ์ออโรรา คือ มีแสงบนท้องฟ้าตอนกลางคืน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กอย่างมาก ดาวพฤหัสก็สว่างขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์ และร้อนจัดขึ้น

ส่วนดาวอังคารเกิดสภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ มีพายุ มีการก่อตัวของเมฆในชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ดาววีนัสสว่างขึ้น 2,500 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 30 ปี แม้แต่ดาวพุธก็ค้นพบสนามแม่เหล็กสูงมาก และเกิดน้ำแข็ง มีฝุ่นละอองที่พัดออกมา ส่วนหนึ่งมาจากความดันลมสุริยะลดลง

สำหรับ ดาวเคราะห์โลกที่มนุษย์อาศัยก็เปลี่ยนแปลงมาก วิศวกรอาวุโสไทยจากองค์การนาซา เปิดเผยว่า จากการวัดปริมาณรังสีคอสมิกมีสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ปริมาณจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น

"รังสีคอสมิกถ้ารับปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมถึงเกิดการกลายพันธุ์ เป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ต้องกังวลมาก การเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ปริมาณฝุ่นละอองที่เข้ามาในโลกมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะสูงขึ้นอีก 13 เท่าตัว ในปี 2556 ปริมาณอุกกาบาตที่วัดได้มีสูงมากในปี 2541 อาจเพราะมีเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุหรือมีอุกกาบาตเข้ามาเยอะขึ้น ฝนดาวตกก็เพิ่มขึ้น ยืนยันปรากฏการณ์นี้แสดงว่ามีวิกฤติเข้ามาในโลกมากขึ้น"

ดร.ก้องภพ กล่าวต่อว่า อีกความผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศรอบนอก ธรรมดาเกิดขึ้นทุก 11 ปี แต่เมื่อวัดครั้งสุดท้ายผิดไปจากเดิม 28 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชั้นบรรยากาศลดต่ำลง ส่งผลให้โลกของเราไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก เช่นเดียวกับภาพจากดาวเทียมวัดสนามแม่เหล็กรอบนอกแสดงให้เห็นรูรั่ว ที่มี อนุภาคและพลังงานหลุดลอดเข้ามาส่งผลต่อสภาพอากาศโลก ขั้วโลกเหนือน้ำแข็งละลาย ขั้วโลกใต้หิมะน้ำแข็งเพิ่มขึ้น

เวลานี้มีรายงานวิจัยมากขึ้น ชี้สนามแม่เหล็กโลกส่งผลกระทบต่อรังสีคอสมิกที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพเมฆและก่อตัวของเมฆ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงความถี่ในการ เกิดแผ่นดินไหวส่งผลกระทบต่อโลกมากเป็นประวัติการณ์ ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ความร้อนที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ความสว่างของดวงอาทิตย์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ในทางเดียวกัน ทั้งยังมีข้อมูลสถิติปี 2552-2553 ระบุความสูญเสียจากภัยพิบัติเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า

ปี 2556 ที่ ดร.ก้องภพ คาดการณ์ว่าดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยาสูงสุด จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดาวเทียม อุกกาบาตหรือหินนอกโลกอาจทำให้ดาวเทียมเสียหาย มนุษย์มีความเสี่ยงจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะว่าจะได้รับรังสีแกมมา และคอสมิกปริมาณมาก รวมถึงเครื่องบินตก มีข้อมูลว่า 2-3 ปีมานี้ ปริมาณการส่งดาวเทียมไปนอกโลกจากทั่วโลกลดลง ก็ขึ้นกับการตี ความ ปี 2553 เป็นเพียงเริ่มต้นปฏิกิริยาสูงสุดของดวงอาทิตย์ อีก 3 ปีข้างหน้าจะรุนแรงขึ้น

ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน ปี 2402 มีผู้บันทึกไว้ว่าเกิดปฏิกิริยาพระอาทิตย์ครั้งใหญ่ ปีนั้นแสงอาทิตย์สว่างจ้า ระบบโทรเลขทำงานโดยอัตโนมัติ คนใช้โทรเลขถูกไฟฟ้าช็อตจากพลังงานที่เข้ามา ปัจจุบันผลกระทบจะสูงกว่าครั้งนั้น อาจ เกิดไฟฟ้าดับทั่วโลกหรืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกใช้การไม่ได้ ระบบหม้อแปลงไป จนถึงสายส่งเสียหาย สภาพอากาศแปรปรวน พายุถล่ม น้ำท่วม รวมถึงแผ่นดินไหว ต้องเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และหาวิธีอยู่รอด

"พื้นที่เสี่ยงกับปฏิกิริยานี้ คือ ขั้วโลก สหรัฐ แคนาดา ประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตรเสี่ยงน้อยกว่าแต่ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ ประมาท พม่าย้ายเมืองหลวงไม่มีเหตุผล เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐ สร้างเมืองตัวอย่างลอยน้ำ คาดว่าแล้วเสร็จปี 2013 หรือปี 2555 ทางการนอร์เวย์ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดินเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัสเซียสร้างที่หลบภัยใต้ดิน 5,000 จุด เสร็จในปี 2012 นี่คือสิ่งที่แต่ละประเทศเตรียมการไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด" ดร.ก้องภพ กล่าวโดยไม่สรุปใด ๆ เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ความรู้จากข้อมูล วิทยาศาสตร์ที่ได้ศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญานของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ตาม ดร.ก้องภพ ฝากทิ้งท้ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่จะมีขนาด ความรุนแรงแตกต่างกัน นโยบายของภาครัฐควรเน้นการป้องกันเพื่อลดการสูญเสีย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้แก้ที่ต้นเหตุ และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพตรวจจับสิ่งผิดปกติ มีกระบวนการแจ้งเตือนล่วงหน้า รวมถึงสร้างสถานที่หลบภัย ซ้อมอพยพบนเส้นทางหนีภัย อีกมาตรการหนึ่งที่สำคัญ เป็นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

ส่วนคนทั่วไปต้องเรียนรู้พึ่งพาตัวเอง นอกจากหวังพึ่งรัฐที่อาจช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที เช่น สร้างคลังอาหารสำรองในพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงสำรองอาหารและอุปกรณ์ยังชีพที่จะใช้เอาตัวรอดในเหตุฉุกเฉิน 3-5 วัน ระยะยาวเห็นว่าทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและเกิด ประโยชน์ที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจากไทยโพสต์
ที่มา : kapook.com

10 อันดับเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก



อันดับ 10 Cahokia

ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก







อันดับ 9 Xi'an
ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว






อันดับ 8 Great Zimbabwe

ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ






อันดับ 7 Thebes

เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี






อันดับ 6 Tenochtitlan

เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้






อันดับ 5 Cuzco
เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว







อันดับ 4 สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน
อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่นมาก เป็นหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ขนาดใหญ่มหึมา







อันดับ 3 Constantinople
คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ






อันดับ 2 Athens

เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ






อันดับ 1 Rome
ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" ไหมครับ กรุงโรมคงจะมีอาณาจักรที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน ที่นี่มีเรื่องราว,วัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างมาก เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก

ขอขอบคุณข้อมูล/ภาพประกอบจาก toptenthailand.com

กฎหมายครอบครัว (แก้ไขใหม่) ที่ประชาชนควรรู้

ตามที่ได้มีการแก้ไขและประกาศพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 และเริ่มต้นใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วัน คือในวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นมานั้นมีผลให้ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติดังกล่าวตามมาตรา 10 (4) และ (5) คือ คดีคุ้มครองสวัสดิภาพและคดีอื่นๆ ที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลเยาวชนและครอบครัว เช่น คดีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546

มาตรา 40 เด็กที่พึงได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพได้แก่ (1) เด็กที่ถูกทารุณกรรม (2) เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด (3) เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา 41ผู้ใดพบเห็นหรือประสบพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กให้รีบแจ้ง หรือรายงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก การแจ้งหรือรายงานตามมาตรานี้ เมื่อได้กระทำโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา หรือทางปกครอง

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550

มาตรา 3 "ความรุนแรงในครอบครัว" หมายความว่า การกระทำใดๆ ที่มุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบแต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท "บุคคลในครอบครัว" หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันท์สามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัย และอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน

พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553

มาตรา 172 ผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวมีสิทธิร้องขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวที่ตนมีถิ่นที่อยู่หรือภูมิลำเนา หรือศาลที่มีมูลเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นออกคำสั่งกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ตามกฎหมายว่า ด้วยการคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวได้ ในกรณีที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวไม่อยู่ในสภาพและวิสัยที่จะร้องขอตามวรรคหนึ่งได้ญาติ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ พนักงานเจ้าหน้าที่ องค์การซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนตามกฎหมาย หรือองค์การที่มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ ครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายจะกระทำการแทนก็ได้

มาตรา 174 ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัวให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยห้ามผู้ถูกกล่าวหาเสพสุรา หรือสิ่งมึนเมา เข้าใกล้ที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานของผู้ร้อง ใช้หรือครอบครองทรัพย์สิน หรือกระทำการใดอันอาจนำไปสู่ความรุนแรงในครอบครัวเป็นระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา 176 ให้ศาลแจ้งคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพไปยังพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ผู้ถูกกล่าวหามีถิ่นที่อยู่หรือมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจเพื่อทราบ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพโดยไม่มีเหตุอันสมควรศาลมีอำนาจออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหามาขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งแต่ไม่เกินกว่า 1เดือน

จากกฎหมายที่แก้ไขใหม่ทำให้ความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถือว่าอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวทั้งสิน และกฎหมายใหม่ยังให้อำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเด็ก หรือสามีภริยาที่เป็นบุคคลในครอบครัวให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองและ ให้อำนาจศาลไปไกลถึงให้อำนาจศาลในการออกหมายจับมาขังเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองด้วย ซึ่งถือว่าสภาพบังคับดังกล่าวนี้จะทำให้ผู้ที่ชอบกระทำความรุนแรงในครอบครัวเกิดความกลัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้นเมื่อมีกฎหมายให้ความคุ้มครองแล้ว ประชาชนทุกคนควรใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าเห็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องครอบครัวใครครอบครัวมันอีกต่อไป ควรช่วยกันสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคมในทุกครอบครัว...ด้วยความห่วงใย

ที่มา : วิชาการดอทคอม

กรณีศึกษาจากข่าวคนดัง สู่การปรับและเปลี่ยนเพื่อป้องกันทวิตเตอร์และโปรแกรมในโซเชียลมีเดียของคุณจากการถูก"แฮก"

กรณีศึกษาจากข่าวคนดัง สู่การปรับและเปลี่ยนเพื่อป้องกันทวิตเตอร์และโปรแกรมในโซเชียลมีเดียของคุณจากการถูก"แฮก"

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทวิตเตอร์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร(@PouYingluck) ถูกมือมืด?แฮก?หรือ?เจาะเข้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างผิดกฎหมาย? และโพสต์ข้อความดิสเครดิตรัฐบาล แม้ตอนนี้ทางผู้ที่เกี่ยวข้องจะออกมาแถลงข่าวว่าทราบเบาะแส แต่ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ เนื่องจากเป็นแอคเคาท์ที่มีทีมงานหลายคนสามารถเข้าไปโพสต์ข้อมูลได้

การแฮกทวิตเตอร์ของผู้มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้แต่ทวิตเตอร์ของบารัค โอบามา (@barackobama)ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาก็เคยถูกเจาะมาแล้ว และเมื่อเดือนก่อนทวิตเตอร์ของสำนักข่าว NBC (@NBCNews)ของอเมริกาก็เพิ่งถูกแฮกโดยแฮกเกอร์นาม The Script Kiddies ที่โพสต์ข้อความเบรกกิ้งนิวส์สร้างความตื่นตระหนกว่า กราวด์ซีโร่(จุดที่ตึกแฝดเวิลด์เทรดถล่ม)ถูกพุ่งชนโดยเที่ยวบิน 5736 และคาดว่าเกิดจากการจี้เครื่องบิน โดยกรณีนี้เอฟบีไอถึงกับต้องเข้ามาสืบสวนสอบสวน

ไม่เพียงเท่านั้น ทวิตเตอร์ของสำนักข่าว Fox (@foxnewspolitics) ก็เคยถูกแฮกในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาและแฮกเกอร์โพสต์ข้อความว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ถูกสังหารในวันชาติอเมริกาพอดี!

สาเหตุที่การแฮกโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ผู้มีชื่อเสียงและสื่อแพร่ระบาดไปทั่ว โลก เพราะโซเชียลมีเดียต่างๆ อย่างทวิตเตอร์และเฟซบุ๊คเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะทวิตเตอร์ที่ในปีนี้มีผู้ใช้พุ่งสูงถึง 200 ล้านคนทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางการส่งผ่านข่าวสารจากอีกฟากโลกหนึ่งไปอีกฟากโลกหนึ่งได้ใน เวลาไม่กี่วินาที ผ่านการ ?รีทวีต? ซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคม เพราะหากข้อความนั้นไม่ถูกต้องก็เป็นการสร้างความวุ่นวายให้ทั้งโลกภายใน ชั่วพริบตา

ที่สำคัญวิธีการแฮกทวิตเตอร์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยสามารถแฮกได้หลายวิธี เช่น การแฮกโดยสุ่มพาสเวิร์ด การแฮกโดยใช้อีเมลปลอม การส่งโทรจันมาในอีเมลเพื่อล้วงข้อมูลในคอมพิวเตอร์ รวมถึงความประมาทของผู้ใช้ที่ล็อกอินไว้ในอุปกรณ์ต่างๆ หรือให้พาสเวิร์ดกับหลายคนอย่างกรณีนายกฯหรือดาราสาวชมพู่-อารยาที่มีปัญหา กับเพื่อนร่วมวงการเพราะมีผู้โพสต์ข้อความกระทบคู่กรณีโดยใช้แอคเคาท์ของเธอ

ส่วนวิธีป้องกันทวิตเตอร์ให้ปลอดภัย ทีมงานทวิตเตอร์แนะนำการป้องกันแอคเคาท์ง่ายๆ คือ ตั้งทวิตเตอร์ให้เป็นส่วนตัว โดยการล็อกอิน จากนั้นไปที่ Setting ซึ่งอยู่ขวาบนของหน้าจอ คลิกที่ช่อง Protect my Tweets แล้วกดเซฟ การป้องกันนี้จะทำให้ผู้ติดตาม(Follwing)เท่านั้นที่จะเห็นข้อความที่คุณทวิ ต ดังนั้นคนที่ไม่ได้ติดตามคุณจะไม่เห็นข้อความและรีทวีตข้อความไม่ได้ ผู้ที่ต้องการติดตามคุณ(Follow)ต้องส่งคำร้องให้คุณอนุญาตก่อนจึงจะติดตาม ได้ และจะไม่แสดงผลแอคเคาท์ของคุณในการค้นหา

แต่หากเป็นบุคคลสาธารณะหรือผู้ใช้ที่ต้องการแบ่งปันข้อมูลทำให้ต้องเปิดแอ คเคาท์เป็นสาธารณะย่อมเสี่ยงในการถูกแฮก แต่ก็มีวิธีป้องกันความเสี่ยงนั้นได้ โดยการตั้งพาสเวิร์ดที่ยากๆ โดยพาสเวิร์ดที่ดีควรมีทั้งตัวเลข สัญลักษณ์ และอักษรภาษาอังกฤษทั้งตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่รวมกัน ควรมีความยาวตั้งแต่ 12-14 ตัวอักษรและเปลี่ยนพาสเวิร์ดบ่อยๆ ส่วนพาสเวิร์ดที่นิยมใช้อันดับ 1 คือ ?123456 ?ส่วน ?password?,?qwerty?และบรรดาตัวเลขต่างๆ ทั้ง 2222,1111,77777 รวมถึงวันเกิด ชื่อ และชื่อสัตว์เลี้ยงของผู้ใช้ ก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน หากแอคเคาท์ของคุณใช้พาสเวิร์ดพวกนี้ก็ควรเปลี่ยนโดยด่วน

อีกวิธีการป้องกันคือ อย่ากดให้คอมพิวเตอร์จำพาสเวิร์ด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์สาธารณะ อย่ากดเปิดอีเมลต้องสงสัยเพราะอาจมีไวรัสแฝงมา อย่าตั้งพาสเวิร์ดเดียวกันหมดสำหรับเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือโปรแกรมอื่นๆ ในโซเชียลมีเดีย เพราะหากถูกแฮกไปหนึ่งโปรแกรม โปรแกรมที่เหลือก็ยากที่จะรอด ที่สำคัญต้องจำกัดวงผู้ที่จะล็อกอินได้ หากมีปัญหาจะได้ทราบว่าเกิดจากใคร โดยวิธีการป้องกันนี้สามารถใช้ได้กับโปรแกรมในโซเชียลมีเดียทั้งหมด

และการแก้ปัญหาแบบวัวหายแล้วล้อมคอก แต่ไม่ทำให้ผู้ใช้ช้ำใจมากนักหากถูกแฮกคือ การแบ็คอัพข้อมูลที่ทวิตไป โดยโปรแกรมต่างๆ เช่นTwistory,BackupmyTweets,TweeTakeและTweetBackup หากถูกแฮกไปจริงๆ จะได้มีข้อมูลเหลืออยู่

สุดท้ายขึ้นอยู่กับผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั้งหมด ที่ต้อง ?คิดก่อนเผยแพร่? เพราะข่าวสารในโซเชียลมีเดียกระจายออกไปรวดเร็วยิ่งกว่าสื่อหลักหลายเท่า แต่เรื่องความถูกต้องยังเป็นที่น่าสงสัย เช่น ข่าวเขื่อนแตกที่มีคนทวิตไม่เว้นแต่ละวัน ดังนั้นหากเห็นข้อความที่ผิดปกติก็อย่าเพิ่งรีทวีตหรือส่งต่อ เพราะหนึ่งคลิกของคุณอาจทำให้สังคมวุ่นวายได้

ทีมเดลินิวส์ ออนไลน์
ที่มา : ครูไทยดอทอินโฟ

ทำไมหน้าหนาวมืดเร็ว หน้าร้อนมืดช้า

แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ โดยในรอบ 1 ปี จะมีการแบ่งโซนการหันเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์เป็น 12 โซน ก็คือ 12 เดือน

โดยเริ่มจากเดือน มกราคม จะหันเอียงโซนใต้ของโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ บรรยากาศในโซนนั้น เช่นทวีป อันทากติก ก็จะอุ่น คือหน้าร้อน จะเห็นพระอาทิตย์เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนทางเหนือของโลก ที่เรียวว่าขั้วโลกเหนือ จะไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะความกลมของโลกระดับเส้นศูนย์สูตร บดบัง แต่ยังพอเห็นความสว่างเพีงแค่รำไร แต่ไม่เห็นดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ก็จะเห็นพระอาทิตย์น้อยลง ขึ้นอยู่ว่าไกลใกล้กับเส้นศูนย์สูตรเท่าใด เช่น ประเทศในแถบเอเซีย เช่นประเทศไทย จะเริ่มเห็นพระอาทิตย์ประมาณ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ตก 6 โมง

ประเทศทางแถบยุโรป พระอาทิตย์จะขึ้น ก็ 10 โมงเช้า พอ 3 โมงเย็นก็หายไปแล้วเดือนกุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ก็จะมาอยู่แถวๆ ออสเตรเลีย มีนาคม ก็จะมาอยู่เหนือประเทศฟิลิปินส์ เมษายน ก็จะมาอยู่เหนือประเทศไทย พฤษภาคม ก็จะไปอยู่เหนืออินเดีย มิถุนายน ก็จะอยู่เหนือเมืองจีน ทางโน้นก็ร้อนตับแตก ตี 3 พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กว่าจะลับฟ้าก็ 4 ทุ่ม ส่วนที่ขั้วโลกเหนือ ก็จะเห็นพระอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนขั้วโลกใต้ เพราะแกนโลกเอียง 11 เปอร์เซ็นต์ แล้วแนวพระอาทิตย์ก็จะไล่ลงใต้อีก ผ่านประเทศไทยอีกครั้งก็เดือนสิงหาคม แต่ตอนนั้นมันไม่ร้อนบ้าเลือดอย่างเดือนเมษาเพราะเป็นหน้าฝน ยังพอมีน้ำฝนและเมฆบดบังแสงอาทิตย์ได้บ้าง ลองเอาส้มหรือลูกบอล มาทดลองกับหลอดไฟดู เอาแกนใต้หันเข้าหา และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแกนเหนือ ในขณะที่หมุนลูกทรงกลมนี้ไปเรื่อยๆ จะได้คำตอบว่าทำไมหน้าหนาว กลางคืนยาวกว่ากลางวันและหน้าร้อนกลางวันยาวกว่ากลางคืน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://new.kanzuksa.com
ภาพประกอบจาก : http://www.photos.com
ที่มา : http://campus.sanook.com

8 วิธีการดูแล สุนัขให้อยู่ดี

"สุนัข" จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของ ทั้งในด้านการดูแลขน การอาบน้ำ การดูแลสภาพทั่วไปของหู ตา จมูกและเล็บเท้า รวมไปถึงการดูแลสุขภาพของเหงือกและฟัน ตลอดจนการออกกำลังกาย การได้รับอาหารที่ดี และการได้รับการตรวจสุขภาพจากสัตวแพทย์อย่างสม่ำเสมออีกด้วย


วิธีการดูแล สุนัข...เบื้องต้นที่เราควรทราบง่าย ๆ ดังนี้


1. ไม่ควรเลี้ยงลูกสุนัขไว้บนพื้นที่ลื่น เช่น พื้นกระเบื้อง หินอ่อนขัด เป็นต้น เพราะจะทำให้ขาสุนัขไม่สวย มันไม่สวยยังหรอ ขาจะแบะออกคล้ายๆกับว่ายืนได้ไม่มั่นคง


2. ไม่ควรอาบน้ำให้ลูกสุนัขที่อายุยังไม่ถึง 3 เดือน ถ้ารู้สึกว่าสกปรกใช้ผ้าน้ำเช็ดขนข้างนอกก็พอ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ อาบน้ำแล้วให้รีบเช็ดและเป่าให้แห้ง เดี๋ยวสุนัขจะเป็นหวัด


3. ระวัง! อย่าให้ลูกสุนัขมุดใต้กรง หรือใต้อะไรที่แข็งและเป็นคาน เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเข้าไปติด ถูกกดทับ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เส้นหลังเสียได้ (กระดูกสันหลังจะแอ่น)


4. ควรดูแลรักษาปากและฟันของสุนัข อย่าให้กัดแทะของแข็งเกินไป เดี๋ยวฟันไม่แข็งแรง ควรหากระดูกเทียมให้สุนัขแทะเล่น เอากระดูกแบบสีขาวและมีฟลูออไรด์ด้วยจะได้ทำความสะอาดฟันสุนัขไปในตัว


5. เมื่อสุนัขเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว (อายุ 7-8 เดือน) อย่าเพิ่งรีบให้ผสมพันธุ์ เพราะสุนัขยังไม่โตเต็มที่ อาจทำให้หยุดการเจริญเติบโตและทำให้ตัวเล็ก แล้วก็อาจจะแท้งหรือให้ลูกที่ไม่สมบูรณ์


6. เมื่อเริ่มโตสุนัขจะเริ่มมีขนร่วง ไม่ต้องแปลกใจเป็นธรรมชาติของสุนัขที่มีการเจริญเติบโต


7. อาหารที่ใช้ควรเป็นอาหารเม็ด เพราะสะดวกรวดเร็ว ถ้าให้อาหารธรรมดา(ทำเอง) สุนัขจะเลือกกินแล้วจะไม่กินอาหารเม็ด อย่าให้แทะกระดูกจริงเพราะเดี๋ยวจะไปทิ่มเอากระเพาะสุนัขจะติดคอได้ง่าย


8. การฉีดวัคซีนและถ่ายพยาธิ ควรทำตามตารางที่สัตวแพทย์แนะ


ที่มา  http://hilight.kapook.com/view/27025

วิธีบรรเทาปวดศีรษะจากความเครียด

“ปวดศีรษะจากความเครียด” มักพบในผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ คร่ำเคร่งกับการเรียน-ทำงานมากเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังกาย เครียดง่าย รวมทั้งการนั่ง-ยืนผิดสุขลักษณะ โดยจะปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ และรอบศีรษะ บางคนอาจมีอาการปวดคอ และไหล่ร่วมด้วย อาการดังกล่าว แม้ยังสามารถปฏิบัติกิจวัตรได้ปกติ แต่สร้างความรำคาญ และบั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ซึ่งวิธีบรรเทาอาการข้างต้นทำได้ง่าย ๆ เพียงปรับเปลี่ยนอิริยาบถ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว

เริ่มจาก “โต๊ะคอมพิวเตอร์ ควรเลือกระดับให้พอดีกับข้อศอก” โดยแขนท่อนปลายสามารถวางในแนวขนานกับพื้นได้ เพื่อกดแป้นคีย์บอร์ดอย่างถนัด ส่วนเก้าอี้ ควรปรับความสูงให้อยู่ในระดับที่สามารถวางเท้าราบกับพื้น อาจหาหมอนเล็ก ๆ รองส่วนหลัง จะช่วยให้นั่งนาน ๆ ได้สบายขึ้น

“ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น” บริเวณขมับ และด้านหลังต้นคอ หรือ “นวดกล้ามเนื้อไหล่ทั้งซ้าย และขวา” โดยบีบเบา ๆ สลับกับการนวดด้านหลังต้นคอ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนจากไหล่ไปต้นคอ และศรีษะสะดวกขึ้น

“พกน้ำดื่มประจำโต๊ะ” เนื่องจากภาวะร่างกายขาดน้ำ เป็นปัจจัยหนึ่งของอาการปวดศีรษะ ดังนั้น ลองสังเกตว่าในหนึ่งวันได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอแล้วหรือไม่

“สำรวจไฟในห้องเรียน-ทำงาน” ซึ่งแสงไฟที่ส่องสว่างน้อยนิด หรือ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ต้องเพ่งสายตา และดวงตาต้องปรับม่านรับแสงตลอดเวลา จนก่อให้เกิดอาการแสบตา ปวดศรีษะได้

“ใช้กลิ่นจากธรรมชาติบำบัด” โดยกลิ่นลาเวนเดอร์ มะนาว และส้ม กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวลน้อยลง ทำให้รู้สึกสบาย

นอกจากนั้น ยังควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอร่วมด้วย เพื่อสุขภาพกายที่แข็งแรง และสุขภาพใจที่แจ่มใส





ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

พิชิตท้องผูก แบบบ้านๆ

คุณคิดว่า ตัวเองกินให้ห่างโรคแล้วหรือยัง “ท้องผูก” เป็นหนึ่งในอาการน่าเป็นห่วงที่มีสาเหตุมาจากการ รับประทานอาหารกากใยน้อย ซึ่งเจ้าอาการที่ว่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศโลกตะวันตก ที่ประชากรเกือบทุกคนประสบปัญหาท้องผูกอย่างถ้วนหน้า

แต่ยังไม่มีใครให้ความสนใจกับอาการนี้กันอย่างจริงจัง หากมีอาการท้องผูกบ่อยๆ ก็จัดได้ว่าเป็นโรคภัยชนิดหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามไป เพราะบางท่านอาจคิดว่าการขับถ่ายอุจจาระเป็นประจำไม่ใช่สิ่งจำเป็น คิดว่าการไม่ได้ถ่ายนานๆ 3-4 วัน ก็ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ความจริงแล้ว การรับประทานอาหารทุกวัน ร่างกายก็จะมีการย่อยอยู่ทุกวัน ดังนั้น เราก็ควรขับถ่ายให้ได้ทุกวันด้วยเช่นกัน

อาการท้องผูกสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ การอั้นอุจจาระเป็นประจำ การใช้ชีวิตแบบเฉื่อยแฉะ ขาดการออกกำลังกาย รับประทานน้ำน้อยเกินไปในแต่ละวัน ความเครียด ข้อนี้ค่อนข้างแปลก เนื่องจากในบางคนความเครียดทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อยเกินไป

ลำไส้ใหญ่ของเราเป็นอวัยวะส่วนที่จะเก็บอุจจาระไว้ ซึ่งจะดูดซับสารเคมีหลายชนิดที่ปะปนอยู่ในอุจจาระ บางชนิดอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ยิ่งปล่อยให้อุจจาระหมักหมมในลำไส้ใหญ่นานเท่าใด โอกาสที่จะเกิดเป็นอันตรายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

อีกทั้งอุจจาระของเสียเหล่านี้ยังเป็นอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคที่อาศัยอยู่ในลำไส้ ทำให้มีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงการเพิ่มปริมาณของสารพิษ ของเสีย อันจะทำให้เกิดอาการอึดอัด แน่นท้อง อ่อนแอ เจ็บป่วย หรือเกิดโรค ริดสีดวงทวาร และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

การรักษาโรคท้องผูกส่วนใหญ่แล้วคนที่มีปัญหาก็มักจะรักษาอาการด้วยตัวเองเป็นหลัก เริ่มจากการใช้ยาระบาย หรือยาถ่ายในรูป ต่างๆ หากใช้เป็นประจำ และเป็นระยะเวลานาน ก็อาจมีการเพิ่มปริมาณมากขึ้น จนตัวยาเข้าไปทำลายระบบประสาทที่อยู่บริเวณลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ใหญ่เสียไปต้องพึ่งการใช้ยาตลอดชีวิต

อย่างไรก็ตาม การทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมากๆ จำพวกผักผลไม้ ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาท้องผูกแล้ว ยังมีผลดีต่อการลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยควบคุมโรคเบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง และการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ฝึกการถ่ายให้เป็นนิสัย ก็ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้

นอกจากเลือกทานให้ถูกหลักแล้ว การจัดท่านั่งเวลาข้าศึกบุกก็ควรทำให้ถูกต้อง นั่นคือ กรณีที่เป็นส้วมชักโครก ควรโค้งตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย เพื่อให้มีแรงเบ่งมากขึ้น เปลี่ยนทัศนคติเรื่องการถ่ายอุจจาระทุกวัน เพราะท้องผูกขึ้นกับสภาพอุจจาระ





ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

เล็บเหลือง ขนคิ้วร่วง.. สัญญาณบ่งบอกโรคที่คุณคาดไม่ถึง

ร่างกายเราน่ะฉลาดล้ำ ต้องการอะไรก็สื่อสารออกมาให้เจ้าของร่างกายรู้สึก.. เวลาท้องว่างก็ร้องโครกคราก เพื่อให้เจ้าของกระเพาะเกิดรู้สึกหิว เตือนคุณว่าถึงเวลากินอาหารแล้วจ๊ะซักที เท่านั้นไม่พอ คุณรู้ไหมว่าสภาพอวัยวะร่างกายคุณที่เปลี่ยนแปลง อาทิ เล็บที่เคยอมชมพูกลับกลายเป็นสีเหลือง ฯลฯ ไม่ใช่เพราะเล็บซีดจากการทาสีบ่อยๆ หรอก หากคุณกำลังเป็นโรคบางอย่างอยู่น่ะสิ!

?มีหลากหลายอาการอวัยวะที่ไม่เหมือนเดิม และคุณเองอาจไม่ทันสังเกต

?เราจึงอาสาพาคุณสำรวจร่างกายตัวเองตั้งศีรษะจรดปลายเท้ากันเลยค่ะว่า แต่ละสังขารอันไม่เที่ยงนั้น กำลังส่งสัญญาณโรคภัยไข้เจ็บชนิดไหน และควรป้องกันรักษาอย่างไร

ขนคิ้วหลุดร่วง->ต่อมไทรอยด์ผิดปกติ

ในวันที่มิได้แต่งหน้าแต่งตา ลองส่องกระจกมองหน้าที่เปลือยเปล่าเครื่องสำอางของคุณดูครับ สังเกตที่บริเวณคิ้วว่าสั้นลงหรือไม่ วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนคือ ลองเอาดินสอ หรือไม้บรรทัดตรงๆ วางทาบจากหางตาขึ้นไปยังหางคิ้ว หากพบว่าขนที่บริเวณหางคิ้วหลุดร่วง จนคิ้วสั้นกุด อาจเป็นไปได้ว่าคุณมีปัญหาที่ต่อมไทรอยด์ (Thyroid) เข้าแล้ว!

ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ (Thyroxin) ซึ่งมีหน้าที่ในการเผาผลาญอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ (cell) ที่สึกหรอในร่างกาย ฉะนั้นหากต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เซลล์ในร่างกายก็จะเสื่อมโทรมส่งผลให้เกิดอาการขนคิ้ว (โดยเฉพาะบริเวณปลายคิ้ว) หลุดร่วง, เส้นผมแห้งและหลุดร่วงง่าย, น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ, รู้สึกเหนื่อยง่าย, และท้องผูกอีกด้วย

สิ่งที่ต้องทำ เมื่อสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ต้องรีบไปพบแพทย์อย่างด่วนจี๋ เพื่อตรวจเลือด วัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ หากพบว่าฮอร์โมนดังกล่าวต่ำลง หรือสูงเกินไป จะได้รีบเยียวยารักษาให้ระดับไทรอยด์ฮอร์โมนกลับมาอยู่ในระดับปกติ ตามที่ควรจะเป็น

นิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้->ไขข้ออาจอักเสบ

เมื่อปี 2008 มีการเผยแพร่ผลงานวิจัย ในวารสารทางการแพทย์ด้านโรคไขข้ออักเสบว่า หญิงที่มีนิ้วนาง ยาวกว่านิ้วชี้มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคปวดข้อ และไขข้ออักเสบมากขึ้นเป็นสองเท่า พูดง่ายๆ ก็คือ หากคุณสาวๆ มีนิ้วนางสั้นกว่า หรือเท่ากับนิ้วชี้ ก็โล่งใจได้ ทว่าหากนิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้ คงต้องคิดหนัก!

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ว่า เรื่องความยาวของนิ้วนางเกี่ยวข้องกับโรคปวดข้อ และโรคไขข้ออักเสบได้อย่างไร แต่ก็มีการสันนิษฐานว่าเรื่องนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนเทสโตสเตอโรน (Testosterone = ฮอร์โมนเพศชาย) ที่มีการสร้างมาตั้งแต่ก่อนคลอด

มีการค้นพบว่า ฮอร์เทสโตสเตอโรนนี้มีความสัมพันธ์กับความยาวของนิ้วนาง (หากผู้หญิงคนใดมีฮอร์เทสโตสเตอโรนมาก นิ้วนางก็จะยาว) เมื่อมีฮอร์เทสโตสเตอโรน อยู่ในตัวมาก ก็จะทำให้สาวนางนั้น มีฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen= ฮอร์โมนเพศหญิง) น้อย ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้เองที่มีส่วนสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน เมื่อมีฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อย พอถึงวัยทอง หรือยามแก่เฒ่า สาวนางนั้นจึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคข้อ และโรคไขข้ออักเสบมากขึ้นนั่นเอง

สิ่งที่ต้องทำ ไม่ว่าคุณจะมีนิ้วนางสั้นหรือยาว ก็อย่าเพิ่งกลุ้ม เพราะแม้คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความยาวของนิ้วที่มีมาตั้งแต่เกิดได้ แต่ก็สามารถลดความเสี่ยง ด้วยการหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเอง ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แค่นี้ก็ช่วยให้คุณหลีกไกลโรคข้อเสื่อมได้มากแล้ว

เล็บเหลือง->เบาหวานมาเยือน

หงายเล็บขึ้นมาดูสักนิด หากคุณเป็นสาวที่ไม่ค่อยได้ทาเล็บ ดูแลเล็บเป็นอย่างดี แต่เล็บเจ้ากรรมแทนที่จะสีชมพูสดระเรื่อ ดั๊นกลายเป็นสีเหลืองซะงั้น! เรื่องนี้อาจเป็นสัญญาณที่บอกเหตุได้ว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปัสสาวะบ่อย แถมรู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียร่วมด้วย อันนี้ยิ่งน่าห่วงเลยครับ

สาเหตุที่ผู้ป่วยเบาหวานมักมีเล็บเหลือง ก็เนื่องมาจากการที่น้ำตาลซึ่งมีอยู่มากในร่างกาย ไปรวมตัวเข้ากับคอลลาเจน (Collagen) และโปรตีน (Protein) ในเล็บ จึงทำให้เล็บเปลี่ยนจากสีชมพูไปเป็นสีเหลืองได้

สิ่งที่ต้องทำ เมื่อมีอาการเล็บเหลืองร่วมกับอาการเข้าห้องน้ำบ่อย หรืออ่อนเพลีย แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าพบว่าเป็นโรคเบาหวานจะได้ดูแลป้องกัน และควบคุมไม่ให้ระดับน้ำตาลสูง จนเกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกาย

หนวดเฟิ้ม-ขนพรึ่บ->ถุงน้ำตรึมในรังไข่

หากจู่ๆ คุณเกิดมีขนเส้นดำๆ หยาบกระด้าง เพิ่มขึ้นมาในร่างกายอย่างผิดปกติ เช่น มีขนขึ้นบนริมฝีปาก ทำให้จากสาวหน้าเด็กแทบกลายเป็นหนุ่มหน้าเข้มสไตล์เพื่อชีวิต หรือขนหนาดำบริเวณหน้าอกหน้าท้อง ต้องเอะใจแล้วหล่ะครับ

เดิมทีคุณไม่เคยมีขนในบริเวณเหล่านั้น แล้ววันดีคืนดี ขนเจ้ากรรมขึ้นพรึ่บไปหมดน่ะ ตีความได้ว่าคุณอาจเป็นโรค Polycystic (PCOS) หรือการมีถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น ซึ่งการที่ฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้นนี้เอง ทำให้คุณกลายเป็นสาวมีหนวดเฟิ้ม ขนดำทะมึนทั่วกาย รวมถึงยังอาจมีภาวะผิวแตกลายเป็นสีกระดำกระด่าง, เกิดสิวเรื้อรัง, น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ, ประจำเดือนมาไม่ปกติ

นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และเกิดภาวะมีบุตรยากอีกด้วย

สิ่งที่ต้องทำ หากพบอาการขนขึ้นเยอะผิดปกติแบบนี้ แนะนำให้รีบบึ่งไปพบแพทย์ เพื่อตรวจได้ชัด รักษาได้อย่างตรงจุดต่อไป



ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ และ thaihealth.or.th

ริมฝีปาก...กระจกสะท้อนสุขภาพ

ริมฝีปาก...กระจกสะท้อนสุขภาพ (ไทยโพสต์)

อย่างที่ทราบกันดีว่า ริมฝีปากมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความสวยความงาม แต่ในทางกลับกันสภาพของปากก็ยังสามารถบอกให้ทราบเกี่ยวกับสุขภาพโดยรวมของคุณได้เช่นกัน และต่อไปนี้ก็เป็นปัญหาที่เหล่าบรรดาคุณสาว ๆ ต้องเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับริมฝีปาก เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้

ริมฝีปากบวม

นี่คือสิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคุณมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดี ไม่ใช่เซ็กซี่แบบสาวแองเจลีนา โจลี แน่นอน เพราะริมฝีปากบวมบางครั้งมีสาเหตุมาจากโรคลำไส้อักเสบที่ชื่อว่า "โครห์น" ปกติจะทำให้เกิดการบวมในลำไส้ ซึ่งอาการสามารถปะทุรุนแรงขึ้นที่บริเวณท่อน้ำเหลืองหรือจุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย นอกจากนี้ริมฝีปากบวมยังสามารถบ่งบอกถึงความไวต่ออาหารบางชนิดได้เช่นกัน เช่น อาหารเผ็ด

ริมฝีปากเป็นแผล

รอยแตกที่ด้านข้างของปาก (โรคแผลที่มุมปาก) บางครั้งเกิดจากโรคโลหิตจาง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการขาดแคลนธาตุเหล็กในร่างกาย และรอยแตกยังสามารถเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูง ขณะเดียวกันยังมาพร้อมกับ โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราในกลุ่มยีสต์ ที่มีชื่อว่า Candida ซึ่งมักจะทำปฏิกิริยาขึ้นบริเวณผิวหนังที่บาง เช่น มุมปากเป็นต้น

รอยไหม้บนริมฝีปาก

แบบนี้อาจจะเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้า เนื่องจากในสมองมีประสาทสัมผัสจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สร้างความละเอียดอ่อนที่มากเกินไป จึงทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้นในจิตใจ และส่งผลให้ริมฝีปากมีรอยไหม้นั่นเอง

ริมฝีปากแตก

คุณจะรู้สึกเจ็บทุกครั้งเมื่อริมฝีปากมีรอยแตก ซึ่งมันสามารถบอกได้ว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ และรอยแตกนี้ทำให้ริมฝีปากบวมได้เช่นกัน โดยมีสาเหตุมาจากผิวหนังที่แห้งแตกและลอก หรือการระคายเคืองที่อาจจะมาจากถุงมือแพทย์ ลิปสติก หรือเปลือกถั่วลิสงที่เรารับประทานเข้าไป ดังนั้นคุณควรใส่ใจกับเครื่องสำอาง และพิจารณาการทดสอบภูมิแพ้ก่อนใช้ทุกครั้ง น่าจะช่วยป้องกันริมฝีปากแตกได้

ผื่นแดง

เป็นอาการโรคภูมิแพ้ชนิดอื่น ที่เกิดขึ้นโดยการบริโภคน้ำอัดลมในปริมาณที่สูง แพทย์รายงานว่า พบคนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น เนื่องมาจากการรับประทานกรดเบนโซอิค ที่ทำให้เกิดฟองในน้ำอัดลม หรือยาสีฟัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขาบริโภคสารเหล่านี้ในปริมาณที่มากขึ้นจึงทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ชนิดนี้

รอยตกสะเก็ด, ริมฝีปากเกรอะกรัง

บ่อยครั้งเราจะเรียกอาการเหล่านี้ว่า "โรคกลาก" ผิวหนังบนริมฝีปากที่มีต่อมไขมันสะสมน้อยกว่าบริเวณส่วนอื่นของผิว มีแนวโน้มที่จะแห้งเร็วกว่าพื้นที่อื่นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กๆ หรือผู้ใหญ่เลียริมฝีปากของพวกเขามากเกินไป ปากของเขาก็จะแห้งเพราะไม่มีน้ำมันจากเนื้อเยื่อริมฝีปากมาหล่อเลี้ยง จึงทำให้รอบบริเวณปากแห้งและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แนะนำว่าให้ลองใช้วาสลินทารอบๆ บริเวณริมฝีปากให้ติดเป็นนิสัย น่าจะช่วยลดรอยตกสะเก็ดบนฝีปากได้

แผลพุพอง

แผลพุพอง จะเกิดขึ้นจากไวรัสเริม เมื่อร่างกายคุณได้ทำสัญญากับไวรัส ที่มันไม่เคยออกจากร่างกายของคุณ และแผลผุพองที่เกิดขึ้นนั้น จะเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณนั้นค่อนข้างต่ำลง นอกจากนี้แผลผุพองมันสามารถชี้ให้เห็นถึงการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ตาม การเป็นแผลที่มีระยะเวลานานกว่า 15 วัน ควรจะไปพบแพทย์จะดีที่สุด

ริมฝีปากซีด

สภาพหัวใจและปัญหาที่ปอดทั้งสอง จะส่งผลกระทบต่อปริมาณของออกซิเจนในการไปหล่อเลี้ยงหลอดเลือด และเมื่อออกซิเจนเริ่มลดลงก็จะทำให้ริมฝีปากมีสีเขียวปนคล้ำหรือออกโทนสีน้ำเงิน แทนสีชมพูที่เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณมีสุขภาพปากที่ดีนั่นเอง ขณะเดียวกัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อน เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยของโรคโลหิตจางด้วยเช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจากไทยโพสต์

ที่มา : http://health.kapook.com/view35549.html

โรคบนเตียง

เวลานอนคือเวลาแห่งการพักผ่อนหลังจากที่ร่างกายของเราได้ใช้งานมาตลอดทั้งวัน และการนอนหลับนอกจากจะทำให้ร่างกายได้หยุดพักแล้ว ยังเป็นเวลาที่ร่างกายจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ ทั้งยังช่วยสร้างพลังงานขึ้นใหม่ โดยสังเกตได้จากเวลาเราตื่นนอนหลังจากที่ได้นอนอย่างเต็มที่แล้ว เราจะรู้สึกสดชื่นและมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ดังนั้นใครก็ตามที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน จึงมักจะไม่สดชื่น อารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย ไร้เรี่ยวแรง เจ็บป่วยบ่อยและบางรายอาจเป็นมากถึงขั้นเป็นอันตรายแก่ชีวิตเลยก็มี

เมื่อการนอนเป็นสิ่งสำคัญแก่ร่างกาย เราก็ควรต้องให้ความสำคัญกับมันอย่างมากเช่นกัน บางคนให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส เข้าโรงยิม เล่นโยคะ ให้ความสำคัญกับการกินดื่ม เลือกกินแต่ของดี ๆ แพง ๆ แต่พอถึงเวลานอนกลับไม่นอน หรือพอมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนก็ไม่ใส่ใจจะรักษา เพราะคิดว่าไม่สำคัญ จึงเกิดเป็นโรคภัยต่าง ๆ ตามมามากมาย ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญและควรรู้ว่าโรคที่เกี่ยวข้องกับการนอนหรือโรคที่เกิดได้จากบนเตียงนั้นมีอะไรบ้างและมีผลเสียแก่ร่างกายอย่างไร เพื่อเราจะได้หาทางป้องกันและรักษาต่อไป

โรคบนเตียง มีอะไรบ้าง

1. อาการนอนไม่หลับ โดยปกติแล้วคนเราควรต้องนอนวันละ 8 ชั่วโมง แต่สำหรับเด็กทารกอาจต้องนอนมากถึง 16 ชั่วโมง ในขณะที่คนสูงวัยอาจนอนเพียงวันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้นก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว การนอนอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งในทางตรงกันข้ามหากเรานอนไม่พอแล้วจะทำให้มีปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทั้งมีอาการง่วง อิดโรย อ่อนแรง ไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดศีรษะ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ร่างกายเติบโตช้า แก่ง่าย ตายเร็ว การอดนอนหรือนอนไม่หลับจึงเป็นการทำร้ายตนเองซึ่งมีผลเสียพอ ๆ กับการติดยาเสพ ติดหรือดื่มสุรายาเมาเลยทีเดียว

การนอนไม่หลับเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งความเครียดจากปัญหาต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอและความเครียดจากสิ่งแวดล้อม ทั้งเกิดจากความวิตกกังวลต่าง ๆ เกิดจากการอดหลับอดนอนมาหลายวันที่เรียกว่าตาค้าง หรือเกิดจากการมีโรคประจำตัว ซึ่งยาบางชนิดที่รับประทานอาจทำให้ไม่ง่วง เช่น ยารักษาโรคหัวใจ ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง

การรักษาอาการนอนไม่หลับ โดยหลักควรพยายามรักษาโดยไม่ใช้ยาแต่ให้พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเราเอง เป็นต้นว่า

1) นอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกคืน เพื่อร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ว่าเมื่อถึงเวลานี้แล้วเราจะต้องนอนพักผ่อน

2) ไม่กินอาหารก่อนนอนเพราะจะทำให้ไม่สบายตัวและไม่ดื่มน้ำมากเพราะอาจต้องลุก เข้าห้องน้ำบ่อย งดดื่มกาแฟหรือชา หากอยากกินอะไรสักอย่างก่อนนอนควรเป็นนมอุ่น ๆ สักแก้วก็เพียงพอแล้ว และนมมีแคลเซียมและมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า ทริปโตแฟนช่วยให้นอนหลับสบาย

3) ปิดไฟนอน

4) หาที่นอนและหมอนที่เหมาะกับสรีระของร่างกายซึ่งไม่ควรแข็งหรืออ่อนเกินไปจะ ทำให้นอนไม่สบายตัวและปวดเมื่อยร่างกาย

5) จัดห้องให้สะอาดและโล่ง ไม่ควรมีของมากมายในห้องนอนเพราะจะทำให้อึดอัดและอากาศไม่ถ่ายเท

6) ออกกำลังกายอย่างพอดีจะทำให้ร่างกายผ่อนคลายหลับสบายขึ้น

หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการมากขึ้น เช่น นอนไม่หลับหลายคืนติดต่อกัน ไม่ควรไปซื้อยานอนหลับมาใช้เอง แต่ให้ไปรักษากับแพทย์โดยตรงจะเป็นผลดีและปลอดภัยที่สุด

2. อาการนอนกรน นอกจากจะเป็นที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ร่วมห้องนอนแล้ว สำหรับตัวผู้ป่วยเองก็เดือดร้อนไม่แพ้กันเพราะไม่ต่างอะไรกับการนอนไม่หลับ เนื่องจากร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ทั้งยังเสี่ยงที่จะเป็นโรคอื่น ๆ ตามมาอีกหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ออกซิเจนในเลือดแดงลดต่ำ และยิ่งใครมีอาการมากอาจถึงขั้นหยุดหายใจชั่วขณะจึง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

การนอนกรน เกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะ

- อายุที่มากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ หย่อนยาน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอทำให้ลิ้นไก่ ตกไปบังทางเดินหายใจ

- ความอ้วน ทำให้ไขมันที่อยู่บริเวณคอซึ่งมีมากไปกดทับช่องคอให้แคบลงและไขมันที่อยู่ บริเวณหน้าท้องทำให้กระบังลมทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้การหายใจติดขัด

- ดื่มสุรา ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งส่งผลให้ทางเดินหายใจอุดตันและสมองขาดออกซิเยนหรือสูบบุหรี่ ทำให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจเสื่อมและแคบลง ทั้งทำให้คอหอยอักเสบเพราะมีการระคายเคือง

- โรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ไซนัส เยื่อบุจมูกอักเสบ หรือโรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไฮโปไทรอยด์ คือภาวะที่ฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายต่ำ หรือโรคที่เกิดจากกรรมพันธุ์ต่างๆ เช่น ดาวน์ซินโดรม

การรักษาอาการนอนกรน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

1) นอนในท่าทางที่สบายหรือนอนตะแคงข้าง ไม่ควรนอนหงายเพราะทำให้ลิ้นตกไปด้านหลังชิดกับผนังช่องคอทำให้เกิดการอุดตัน

2) ลดความอ้วน จะช่วยให้ขนาดของช่องคอเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้อากาศไหลผ่านลงสู่ปอดได้สะดวก ขึ้น ซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมีมากขึ้น

3) ออกกำลังกาย

4) งดสุรา ช่วยให้การหยุดหายใจจากการที่ทางเดินหายใจอุดตันลดลง ทำให้นอนกรนลดลง

5) เลิกสูบบุหรี่ทำให้ผนังคอลดการอักเสบลงและช่วยให้เสมหะที่มีมากลดลงเช่นกัน จึงทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้น

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถรักษาทางการแพทย์ได้โดยอาจใช้เครื่องช่วยหายใจ Nasal CPAP ซึ่งเครื่องนี้จะทำให้ช่องทางเดินหายใจที่แคบกว้างขึ้น หรือหากอาการหนักกว่านั้นอาจต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาทางเดินหายใจอุดตัน

3. อาการนอนละเมอ เป็นอาการที่เกิดในช่วงที่ร่างกายมีสติสัมปชัญญะต่ำอย่างเช่นในเวลานอน ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย ความเครียดหรือความวิตกกังวลต่าง ๆ การพบเห็นสิ่งที่ทำให้ฝังอยู่ในใจ เช่น เห็นภาพการต่อสู้ เห็นภาพที่น่าเกลียดน่ากลัว หรือไปทำกิจกรรมอะไรมาแล้วยังนึกถึงสิ่งนั้นอยู่ก่อนจะนอนหลับไป เช่น ไปเล่นกีฬามา ไปดูคอนเสิร์ตมา

ซึ่งลักษณะของอาการคือมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือมีการกระทำต่าง ๆ ในขณะที่ไม่รู้สึกตัว ซึ่งการนอนละเมอทำให้เกิดผลเสียได้มากมาย ทั้งต่อร่างกายเนื่องจากร่างกายพักผ่อนได้ไม่เต็มที่และเหน็ดเหนื่อยจากการที่ได้ไปทำอะไรต่าง ๆ มา ผลเสียต่อการงานเพราะเมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ก็จะมีอาการง่วง อ่อนเพลีย ขาดสมาธิในการงานและการเรียน และผลเสียด้านอื่น ๆ เนื่องจากเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรลงไปบ้างขณะนอนละเมออยู่ เช่น อาจไปทำร้ายใครหรือด่าใครเข้าก็ได้

การรักษาอาการนอนละเมอ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

1) อย่ากระตุ้นตนเองด้วยการทำกิจกรรมที่ตื่นเต้นหรือโลดโผนเกินไป

2) งดการนอนกลางวัน เพื่อถึงเวลานอนกลางคืนจะได้หลับสนิทอย่างเต็มที่

3) จัดห้องนอน ที่นอนและหมอนให้สบาย และไม่ควรเปิดไฟนอนเพราะจะรบกวนการนอน

4) เปิดเพลงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลาย

5) ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย นึกถึงเรื่องที่ทำให้มีความสุข

4. โรคไหลตาย คือโรคที่ทำให้เสียชีวิตอย่างกะทันหันเพราะหัวใจเต้นผิดจังหวะร้ายแรง ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากสารโปแตสเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ ทำให้การนำไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หัวใจจึงเต้นผิดจังหวะทำให้เสียชีวิต หรืออาจเกิดจากมีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจแต่ไม่รู้จึงไม่ได้รักษามาก่อน เมื่อมันแสดงอาการร้ายแรงขึ้นมาทำให้เสียชีวิตไปแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวเลยก็ได้

การรักษาโรคไหลตายทำได้ยาก เพราะอย่างที่ทราบคือมันเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้มันจะเกิดเมื่อไหร่ แต่ทางที่ดีคือการป้องกันโดยหมั่นดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและตรวจเช็คร่าง กายโดยเฉพาะการทำงานของระบบหัวใจไว้บ้างก็ดี เผื่อว่ามีอาการผิดปกติจะได้รักษาไว้ก่อนก็น่าจะทำให้สบายใจได้เปลาะหนึ่ง

โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับคนเราได้เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลานอน ดังนั้น เราควรต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองทั้งยามปกติและยามอยู่บนเตียงนอนด้วย เพื่อว่าชีวิตของเราจะได้พ้นจากโรคภัยหรืออาการทรมานทั้งหลาย และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสันต์ตลอดปีหน้าฟ้าใหม่นี้



ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ โดย ดร.แพง ชินพงศ์ และ http://www.thaihealth.or.th

ประโยชน์-โทษ ของอาหารรสชาติต่าง ๆ

ตามตำราแพทย์แผนจีน รสชาติของอาหารทุกชนิดมีความสำคัญต่ออวัยวะภายในของร่างกายมนุษย์แทบทั้งสิ้น นอกจากประโยชนที่เราได้รับแล้ว หากทานมากไป อาจได้รับโทษของรสชาติเหล่านั้นมาด้วย

มาดูว่าประโยชน์และโทษของอาหารที่เราทานอยู่เป็นประจำนั้น มีอะไรบ้าง

อาหารรสหวาน

ข้อดี - น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานกับร่างกายโดยทันที ส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้ประเปร่า ช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทานยา รักษาอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง และแก้กระหายด้วย

ข้อเสีย - เมื่อทานอาหารที่มีรสหวานมาก ๆ ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน เพราะการได้รับน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้ นอกจากนี้ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งผลให้อ้วน ทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต ฟันผุ เป็นต้น

อาหารรสเผ็ด

ข้อดี - อาหารรสเผ็ดช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้เป็นไปตามปกติ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ข้อเสีย - อาหารรสเผ็ดจัดก็สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่มาก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต และดรคความดันโลหิตสูง

อาหารรสเค็ม

ข้อดี - โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด - ด่างของเลือด ช่วยขับร้อน แก้อาหารเลือกออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ

ข้อเสีย - เมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ร่างกายจะพยายามขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้เรารู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน แสบคอ เกิดอาหารบวมน้ำได้ หรือถ้าหากเป็นมากถึงขั้นภาวะขาดน้ำได้ นอกจากนี้ รสเค็มจะทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

อาหารรสเปรี้ยว

ข้อดี - เป็นข้อดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ความเปรี้ยวช่วยในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับเสมหะ และแก้เลือดออกตามไรฟันได้

ข้อเสีย - การกินอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป ทักทำให้ท้องเสีย ร้อนใน และระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหา จึงทำให้แผลหายช้า และเป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดฟันผุด้วย

ทุกอย่างบนโลกนี้ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี การทานอาหารก็เช่นกัน ทานแต่พอดี ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่


ที่มา : http://campus.sanook.com

เคล็ดลับ 'ดื่มน้ำ' ได้สุขภาพ

การดื่มน้ำให้ได้สุขภาพมีวิธีง่ายนำมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

สำหรับน้ำที่ดื่ม ไม่ควรเย็นจี๋ เพราะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารหดตัวลง หากเป็นเช่นนั้นเซลล์จะปรับตัวและขยายตัวเพื่อดูดซึม ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการปรับอุณหภูมิก่อนดูดซึม จึงมักเกิดอาการจุกหน้าอกขณะกระหายน้ำ

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย ชี้ว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงทันที ส่งผลกระทบต่อการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง ซึ่งน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียว ยังทำให้สภาพจิตใจของบางคนลดลงร้อยละ15

ส่วนการดื่มน้ำร้อนจัดก็ไม่ควร เพราะความร้อนของน้ำอาจทำลายเยื่อบุช่องปากและทางเดินอาหาร จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรค

การดื่มน้ำที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ควรเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิใกล้เคียงหรือต่ำกว่าอุณหภูมิร่างการเล็กน้อย เช่น น้ำอุณหภูมิห้อง หรือน้ำที่มีอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที

โดยเฉพาะในหน้าหนาว ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะนำไว้ 3 ช่วงด้วยกัน ประกอบด้วย แก้วแรกของวัน ดื่มระหว่าง 05.00-07.00 น. จะช่วยการขับถ่าย ช่วงต่อไป คือ 15.00-17.00น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ และแก้วสุดท้ายของวัน ดื่มก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง ช่วยการนอนหลับที่ดี

ในแต่ละวัน ปริมาณน้ำดื่มที่ร่างกายต้องการของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปตามน้ำหนักตัว ซึ่งมีวิธีคำนวณง่ายๆ ในสูตร น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หาญด้วย 2 แล้วคูณด้วย 2.2 และคูณด้วย 30 จะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นปริมาณน้ำหน่วย c.c. ที่ควรดื่มในแต่ละวันนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำ ไม่ควรดื่มคราวละมากๆ เพราะจะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย โดยควรดื่มแบบค่อยๆ จิบ เซลล์ในร่างกายจะดึงน้ำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
และ http://www.thaihealth.or.th

อ้วน! ระวัง ไขมันคั่งในตับ

โรคของคนอ้วน ส่วนมากเราจะรู้จักกันแต่โรคเบาหวาน หัวใจ หลอดเลือด และความดันโลหิตสูง ขณะที่หลายคนคงยังไม่ทราบว่า คนที่มีลักษณะ อ้วนลงพุง ยังก่อให้เกิด “ภาวะไขมันคั่งในตับ” ได้โดยที่โรคนี้จะไม่แสดงอาการเตือนใด ๆ จนกระทั่งตับอักเสบและดำเนินโรคไปสู่ระยะตับแข็ง ตับวาย มะเร็งตับและเสียชีวิตในที่สุด

พญ.พนิดา ทองอุทัยศรี อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ให้ความรู้ว่า ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมาก อวัยวะหนึ่งของร่างกายมีหน้าที่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน กำจัดสารพิษ ช่วยสร้างน้ำดีและโปรตีนที่สำคัญ ๆ ของร่างกาย ช่วยย่อยไขมัน โดยธรรมชาติตับของเราจะมีสีน้ำตาลแดง หากตับมีภาวะความเสี่ยงที่มีไขมันสะสมจะเริ่มกลายเป็นสีขาว เนื่องจากมีไขมันคั่งอยู่ในตับ!

ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นไขมัน คั่งในตับมักอยู่ในกลุ่มแรกมีเกณฑ์การวินิจฉัย คือ ต้องมีความผิด ปกติอย่างน้อย 3 ใน 5 ข้อดังต่อไปนี้ ได้แก่

1.อ้วนลงพุง
2.ระดับไขมันไตรกลี เซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มก./ดล.
3.ระดับไขมันเอ ช-ดี-แอล (HDL) คอเลสเตอรอล ในผู้ชายน้อยกว่า 40 มก./ดล. และผู้หญิงน้อยกว่า 50 มก./ดล.
4.ความดันโลหิตมากกว่า 130/85 มม.ปรอท หรือทานยาลดความดันโลหิตอยู่และ
5.ระดับน้ำตาล ขณะอดอาหารมากกว่า 110 มก./ดล

โดยปกติร่างกายเผาผลาญไขมันต่าง ๆ จากเนื้อเยื่อนอกตับสามารถผ่านเข้าไปในตับได้แต่ตับก็มีขบวนการป้องกัน

ไม่ให้ไขมันสะสมแต่ต้องอาศัยฮอร์โมนอินซูลิน เมื่อไขมันเข้าไปเนื้อตับ บางส่วนตับจะส่งไขมันตัวนี้เข้าไปสลายให้เป็นพลังงานให้เราสามารถทำกิจวัตร ประจำวันได้ และไขมันส่วนที่เกินตับจะขับออกสู่กระแสเลือดได้ แต่ถ้าเมื่อใดมีภาวะดื้ออินซูลินขึ้นมาทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ มีการสลายไขมันออกมามากขึ้น เมื่อไขมันในเลือดมีมากก็เข้าสู่ตับมากขึ้น ในระยะแรกคนไข้อาจจะไม่มีอาการใด ๆ แต่บางรายอาจมีอาการปวดแน่นชายโครงด้านขวาหรืออาจตรวจอัลตราซาวด์เจอว่าตับ ขาวผิดปกติ และตรวจเลือดก็อาจจะปกติ ทางการแพทย์เรียกว่า ไขมันสะสมอยู่เฉย ๆ แต่เวลาผ่านไปถ้าไขมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตับจะมีการอักเสบขึ้นมา เพราะว่าไขมันตัวนี้จะปล่อยสารบางอย่างทำให้เกิดการอักเสบของตับ เมื่อเวลานานเข้าจะดำเนินโรคไปสู่ โรคตับแข็งโดยที่เราไม่ต้องดื่มเหล้า หรือไม่ได้เป็นไวรัสตับ



ขอบคุณข้อมูล healthcorners
ที่มา : http://variety.teenee.com/science/42222.html

เหงื่อ ความลับสุขภาพดี ที่คุณยังไม่รู้



โดยทั่วไปแล้ว เราเคยสังเกตกันไหมว่า ความร้อน และ เหงื่อ มักจะมาคู่กันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามอากาศร้อนอบอ้าว หรือร้อนธรรมดาๆ หรือขณะที่เรากำลังใช้แรงงานกล้ามเนื้ออย่างหนัก หรือแม้แต่อาการตื่นเต้นหวาดกลัวจนเส้นประสาทถูกกระตุ้นมาก ๆ มักจะเห็นเหงื่อผุดพราวขึ้นตามรูขุมขน

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คือทางออกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาช่วยเพื่อบรรเทาความร้อน และสร้างความเย็นขึ้นมาทดแทนของร่างกายเรานั่นเอง เพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะปกติ และที่เรารู้สึกถึงความเย็นได้ ก็เพราะในเหงื่อนั้นประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก และแร่ธาตุรองลงมาก็คือคอลไรด์และโพแทสเซียม หรือเกลือ เราจึงรู้ว่า เหงื่อ มีรสเค็ม

ไปทำความรู้จักกับหยาดน้ำเค็ม ๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกายเราว่าคืออะไรและมาจากไหนกันเถอะ

เหงื่อ และกลิ่นของเหงื่อ

เหงื่อออก เป็นหนึ่งในกลไกตอบโต้ทางธรรมชาติของร่างกายสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และกับมนุษย์อย่างเราๆ ที่หลายๆ คนคงอยากให้เกิดน้อยที่สุด เนื่องจากผลที่ตามมาคือ นอกจากจะทำให้เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้ว กลิ่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร แถมเหงื่อของบางคนยังมีกลิ่นแรงเป็นพิเศษเสียด้วย ชนิดที่ทำให้คนรอบตัวที่ไม่คุ้นเคยต้องรีบอุดจมูกแล้วเดินหนี เป็นที่น่ารังเกียจเสียด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วเหงื่อของคนเรานั้นไม่มีกลิ่นเลย แต่ที่เราได้กลิ่นนั้น คือเหงื่อนั้น เมื่อผสมกันเข้ากับแบคทีเรียบนผิวหนังเส้นขน รวมทั้งกรดไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละ ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้

ทั้งนี้ ต่อมเหงื่อ นั้นมีสองประเภท หากเป็นเหงื่อที่ออกทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้านั้นจะมาจากต่อมที่เรียกว่า Eccrine ซึ่งเริ่มผลิตเหงื่อตั้งแต่เรายังเป็นเด็กแรกเกิดกันเลยทีเดียว จึงมักไม่ค่อยมีกลิ่นรุนแรงเท่าเหงื่อที่มาจากต่อม Apocrine ที่อยู่ตรงบริเวณรักแร้และซอกขาใกล้ทวารหนักและอวัยวะเพศ ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และหากส่องดูกันอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้ว่า มีทั้งกรดไขมันและโปรตีนผสมอยู่ ซึ่งทำให้เหงื่อที่ออกมาเป็นสีเหลืองขุ่นเล็กน้อย และมักเห็นเป็นคราบบนเสื้อผ้าได้ง่าย นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบรรดาผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกายต่าง ๆ จึงได้พุ่งเป้าหมายการกำจัดกลิ่นไปที่บริเวณรักแร้กันเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ต่อมเหงื่อ ยังมีแทรกอยู่ตามบริเวณรูขุมขน ทั้งบนหนังศรีษะ และตามร่างกายทั่วไปอีกด้วย (พูดได้ว่า ที่ไหนมีขนมาก ที่นั่นมักมีต่อมเหงื่ออยู่มาก) เนื่องจากเหงื่อเป็นของเหลวและมีโพแทสเซียม หากเกิดการเสียดสีอย่างรุนแรงบ่อยๆ จะเกิดการทำลายของชั้นผิวหนัง ขนจึงเป็นทางออกสุดท้ายในการลดแรงเสียดสีดังกล่าว แต่แฟชั่นส่วนใหญ่ของคุณผู้หญิง หากมีการปล่อยขนบริเวณรักแร้ให้เห็น คงดูไม่ดีแน่ๆ

เหงื่อที่ผิดปกติ

บางคนมีเหงื่อออกมากเกินไปจนเป็นที่น่ารำคาญทั้งผู้เป็นและผู้ใกล้เคียง และทำให้เจ้าตัวเกิดความอับอายอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเหงื่อตามฝ่ามือและซอกรักแร้ที่เปียกโชกเป็นวงทั้งวัน สาเหตุนั้นทางการแพทย์เองก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่ามาจากสาเหตุใด แต่อาจมีที่มาดังต่อไปนี้ และสามารถรักษาได้ด้วยการกินยาหรือการผ่าตัด

- ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น อาการเมโนพอส (Menopause) ในช่วงวัยทอง
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติซึ่งทำให้ร่างกายผลิตความร้อนได้สูง
- ยาที่ใช้บางประเภท
- อาหารที่มีกาเฟอีนสูง
- ระบบประสาททำงานหนักจนเกินไป

รู้ไหมว่า...

- คนเรามีต่อมเหงื่อกระจายอยู่ทั่วร่างกายถึงประมาณคนละ 2.6 ล้านต่อม
- เหงื่อที่ออกตรงฝ่ามือและรักแร้นั้นไม่เหมือนกัน และให้กลิ่นแตกต่างกันด้วย
- หากสังเกตให้ดี แท้จริงแล้วเรามีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา แม้ในอากาศเย็น
- หากอากาศร้อนมาก ๆ คนเราอาจเสียเหงื่อได้มากถึงชั่วโมงละ 1 ลิตร ร่างกายจึงต้องการน้ำและเกลือแร่ชดเชย
- เหงื่อมีรสเค็มเนื่องจากมีแร่ธาตุสำคัญคือ โซเดียมและโพแทสเซียม
- หากเหงื่อออกมากแล้วไม่รีบดื่มน้ำเข้าไปทดแทน อาจทำให้เป็นลม เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนหรือไตวายได้
- เครื่องจับเท็จสามารถวัดได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าสถิตในผิวหนัง และเหงื่อที่ออกเวลาเรากลัวหรือตื่นเต้น


ที่มา ... www.beautyfullallday.com และ variety.teenee.com/foodforbrain/42587.html


วันตรุษไทย

        วันตรุษไทย  ถือเป็นวันปีใหม่ในสมัยโบราณ ตรงกับวันแรม 13 - 15 ค่ำเดือน 4 และวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 รวม 3 วัน โดยถือเอาวันแรก คือวันแรม 14 ค่ำเป็นวันจ่าย เพื่อตระเตรียมสิ่งของไว้ทำบุญ วันกลาง คือวันแรม 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญตักบาตร และมีการละเล่นสนุกสนานตาม ประเพณีท้องถิ่น ซึ่งจะเล่นกับจนถึงวันที่ 3 คือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4

ประเพณีทำบุญวันตรุษ

         คำว่า "ตรุษ" แปลว่า ตัด หรือ ขาด ซึ่งหมายความ ว่า ตัดปีเก่าที่ล่วงมาแล้วให้ขาดไป ประเพณีตรุษนี้แต่เดิมเป็นของพวกอินเดียฝ่ายใต้ เมื่อพวกทมิฬได้มาครองเมืองลังกา ได้นำพิธี ตรุษซึ่งเป็นลัทธิศาสนาของตนเข้ามาปฎิบั ติ จึงกลายเป็นงานนักขัตฤกษ์ใหญ่ นิมนต์พระสงฆ์ มาเจริญพระพุทธมนต์ในวันแรม 14 ค่ำ วัน แรม 15 ค่ำเดือน 4 และขึ้น 1 ค่ำ เพื่อให้ เป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองของตน ขนมที่จัดทำขึ้นในวันตรุษที่จะขาดไม่ได้คือ ข้าวเหนียวแดง และกะละแม มีการทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระตามประเพณี บางวัดก็จัดให้มีสวดภาณยักษ์ ประเพณีตรุษนี้คนในหมู่บ้าน ตามท้องถิ่นต่างๆ ได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัด และมีการละเล่นต่าง ๆ ตามความนิยมแต่ละยุคสมัยในท้องถิ่น

ชาวไทย ได้นำแบบแผนประเพณีวันตรุษมาจากลังกา เพราะพระพุทธศาสนาจากลังกาได้เข้าเผยแพร่ในประเทศไทย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชนุภาพ ได้ทรงวินิจฉัย ด้วยเหตุผล 3 ประการว่า

อาจได้ หนังสือที่เป็นตำรามา ซึ่งเป็นภาษาสิงหฬ และจารึก ลงในใบลานด้วยอักษรสิงหฬ แล้วมาแปลออก เป็นภาษาไทยเรา
อาจมีพระเถระ ชาวลังกา ซึ่งเป็นที่มีความชำนาญในการพิธี ตรุษ ได้เข้ามาในเมืองไทย แล้วมาบอกเล่า และสอนให้ทำพิธีตรุษกันขึ้น
อาจมีพระสงฆ์ของไทยเรา ได้ไปเห็นชาว ลังกาทำพิธีตรุษ และได้มีโอกาสได้ศึกษาทำ พิธีตรุษนั้น จนมีความสามารถทำได้ แล้วก็ ได้นำเอาตำรานั้นเข้ามาสู่ประเทศไทย

ในเหตุผล 3 ประการดังกล่าว สมเด็จกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ ทรงวินิจฉัยว่า "พระสงฆ์ไทย เราไปได้ความรู้ และได้นำเอาตำราตรุษมา จากลังกา น่าถูกต้องกว่าประการอื่น เพราะมีเรื่อง ในพงศาวดารปรากฎไว้เป็นหลักฐาน"

ประวัติประเพณีทำบุญวันตรุษ

พิธีตรุษนี้ เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ปรากฎว่ามี พิธีทำวันบุญตรุษ ซึ่งนางนพมาศที่เป็น สนมเอกของพระร่วงเจ้ากล่าวไว้ในหนังสือนพมาศว่า "ครั้งเดือน 4 ถึงกาลพระราช พิธีพัจฉรฉินท์โลกสมมุติเรียกว่า "ตรุษ" ฝ่าย พุทธศาสนาพนักงานก็ได้ตักบาตรทราย จับด้ายมงคล สูตรใส่บลุ้งไว้ในโรงราชพิธีทั้ง 4 ทิศ พระเนตร และในพระราชนิเวศน์ จึงอัญเชิญพระพุทธป ฎิมากรมาประดิษฐาน อาราธนาพระเถระผลัดเปลี่ยนกัน มาจำเริญพระปริตรในโรงราชพิธีทุกตำบลสิ้น ทิวาราตรี 3 วาระ และด้ายมงคลสูตรในราตรี เหล่า ทหารยิงปืนใหญ่รอบพระนคร ฝ่ายพราหมณ์จารย์ก็ ประมุขกันผูกพรตกระทำพระราชพิธีในเทวสถานหลวง ตั้งเครื่องพิธีกรรมสังเวยบวงสรวงพระเทวรูปทั้งมวล มีพระปรเมศวรเป็นต้น แล้วก็เปลี่ยนเวร กันอ่านอาคมในทิวาราตรีทั้ง 3 ครั้นเวลาพลบค่ำ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จยังหน้าพระลานโรงราชพิธีสว่างไปด้วยแสงโคมประทีปชวาลา ทรงสถิตย์ในมหาฬดัดพิดาน ผ้าขาวเป็นที่นั่ง แล้วก็สมาทานสิน 5 ทรงสดับพระมหาเถระเจ้า ด้วยของรัตนสูตรและอาฎานาฎิยสูตร โดยสัจจเคารพ...ครั้งรุ่งขึ้นเป็นวันสิ้นปี ก็ทรงปรนนิบัติ พระมหาเถระเจ้าด้วยของคาวหวาน อันประณีต ถวายไตรจีวรบริเวณสมณะสิ้นทุกพระองค์ แล้วก็ตั้งกระบวนแห่เป็นปัญจะพยุหะ ประพรมน้ำ พระพุทธมนต์ และโรยทรายรอบพระราชนิเวศน์นั้น กระบวนหนึ่งรอบพระนครท้องสถลมารนั้นสี่กระบวน ดูเป็นสง่างามยิ่งนัก เหล่านักเลงก็เล่น มหรรสพเอิกเกริกสมโภชบ้านเมืองเป็นการนักขัตฤกษ์ บรรดา นิกรมวลราษฎรชายหญิง ก็แต่งตั้งนุ่งห่มประดับ กายโอ่โถง พากันมาเที่ยวดูแห่ ดูงาน นมัสการพระในวันสิ้นปี และวันขึ้นปีใหม่ และหมู่พระสนมกำนัลในทั้งหลาย ก็ประดับกาย ด้วยเครื่องสรรพาภรณ์ ตามเสด็จพระร่วงเจ้า ออก ทางท้องฉนวนวัดหน้าพระธาตุ ถวายข้าวบิณฑ์ บู ชาพระรัตนตรัย แล้วประโคมดุริยดนตรีขับร้อง ฟ้อน รำสมโภชพระพุทธปฎิมากรโดยนิยม......."

ข้อความนางนพมาศที่ปรากฎนี้ พิธีตรุษได้เข้ามาในประเทศไทยนานนับเป็นร้อยๆ ปี สมัยกรุงสุโขทัยทุกคนที่เข้าร่วมพิธีต้องสวม มงคลพิสมร มือถือกระบองเพชร การนิมนต์พระสงฆ์สวดพระ อาฎานาฎิยสูตรอยู่ตลอดรุ่งก็เพื่อระงับ โรคภัยไข้เจ็บและอันตรายต่างๆ ไม่ให้เกิด แก่ประชาราชอาณาจักร เหมือนกับสมัยหนึ่งในเมือง เวสาลีครั้งพุทธกาล ได้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มีพวกมิจฉาชีพเบียดเบียนชาวเมืองทั่วไป พระ พุทธเจ้าได้เสร็จไปถึงทรงประทานบาตรน้ำพระ พุทธมนต์ให้พระอานนท์นำไปประพรมตามกำแพงเมือง พร้อมกับประทานเนื้อสวดพระอาฎานาฎิยสูตร ไปสวดแล้วโรคภัยต่างๆ ก็หายสิ้น

การที่พระสงฆ์สวดบทอาฎานาฎิยสูตรหรือสวดบทภาณยักษ์ภาพนั้น ยังมีผู้เข้าใจกันว่า สวดเพื่อให้ผีตกใจกลัว และผู้ที่มีปืนก็ยิงปืนสนั่นหวั่นไหว เป็นการไล่ผี ผู้เฒ่าผู้แก่จัดเตรียมตำปูนขมิ้นผสมกันวางไว้ข้างที่นอนไว้ให้ พวกผีญาติ ผีเรือน ตกใจกลัววิ่งกันชุลมุน ล้มลุกคลุกคลาน หัวแตก สีข้างเดาะ จะได้หยิบเอา ปูนขมิ้นทาแล้วยังเอากระบอกไม้ใส่อาหารคาว หวาน แขวนไว้ตามกิ่งไม้ โยงมาหัวบันไดที่ เรียกกันว่า "ข้าผอมกระบอกน้ำ" เอาไว้ ให้พวกผีที่กลัวเสียงสวดพระปริตรและเสียงปืน วิ่งหนีเห็นเหนื่อยจะได้หยิบกิน แล้วยังห้ามไม่ให้ผู้ใดถ่ายมูตคูถลงร่องเรือน เกรงจะไปเปรอะเปื้อนพวกผีที่วิ่งหนีชุลมุลใต้ถุน และยังเชื่อถือว่าถ้าผู้ใด ไม่สวดมงคล ผีอาจวิ่งมาชนล้ม หรือมา หลอกหลอน ทำให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดการ เพ้อคลั่งมีกริยาต่าง ๆ ถือกันมาจนทุก วันนี้

ประเพณีตรุษนี้ คนในหมู่บ้าน และ ตามท้องถิ่นต่างๆ ได้ประกอบพิธีทำบุญตักบาตรที่วัดและมีการละเล่นต่างๆ ตามความนิยม แต่ละยุคละสมัย ในท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานีสมัย ก่อนประมาณ 40-50 ปีที่ผ่านมาแล้ว พอถึงเทศกาลตรุษ หลังจากทำบุญเช้าและตอนเพลที่วัดแล้ว พอตกเวลาบ่าย เขาจะเอา ไม้ไผ่ทั้งลำเอาผ้าแดงผูกปลาย แล้วเอาไปปักไว้ที่ลานนอกบ้านหรือกลางทุ่งนา เรียกว่าปักธงแดง เพื่อเป็นเครื่องหมายนัดพบ ของหนุ่มสาวให้มาพบกันในเวลา 5 โมง เย็น เวียนกันไปตามตำบลต่างๆ เพื่อให้มาร่วมแล่น ไม้หึ่งไม้อี่ เล่นช่วงรำ เล่นสะบ้า และเล่นระบำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อสมัยสงครามโลก ครั้งที่สอง สมัยที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็น นายกรัฐมนตรี ก็มีการเล่นรำวงกันเป็น ที่ครึกครื้นของหนุ่มสาวกันมาทำให้เกิดความ สามัคคีกันเป็นอย่างดีเมื่อมีกิจการใด ๆ ก็จะร่วมมือช่วยเหลือกันด้วยน้ำใจที่ เรียกว่า "ลงแขก" การละเล่นในยามตรุษ ยัง มีเนื้อเพลงที่ชาวบ้านแต่งร้องรำกันสนุน สนานรื่นเริงตอนหนึ่งว่า

".....ตอนเช้า ทำ บุญตักบาตร ทำบุญร่วมญาติ ตักบาตรร่วมญาติ กันเอย ตอนบ่ายเราเริงกีฬา เล่นมอญซ่อนผ้า เล่นสะบ้าเอย....." และยังมีเพลงพื้นเมืองที่ ควรจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์เพราะสมัยนั้นเป็น เวลาที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ก็มีเพลง ที่เกี่ยวกับเสียงปืนที่หนุ่มสาวนำมาคิด ประดิษฐ์รองกันขึ้นว่า

"ครืน ครืน ครืน ได้ ยินเสียงปืนกระทุกใจหวัง คิดไปหัวใจ เรายัง คิดถึงความหลังก็ยังเศร้าใจเขต แคว้นในแดนไทยเรา ถูกเขามายื้อแย่ง ไป คิดขึ้นมาน้ำตาหลั่งไหล คิดขึ้นมา น้ำตาหลั่งไหล ขึ้นชื่อว่าไทยไม่วายเขา ลือ"


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เครือข่ายกาญจนาภิเษก
www.pathumthani.go.th
บ้านฝัน