วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รู้จัก 'ซิลิโคน' ที่ใช้ในวงการแพทย์






หากจะกล่าวถึงวัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในวงการแพทย์ นอกจากเครื่องมือแพทย์ ที่เราพบเห็นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น หูฟังของหมอ มีด เข็มฉีดยา ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดความดัน แล้ว เราก็ยังสามารถพบเห็นวัสดุที่แพทย์มักใช้กันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศัลยกรรม

ใช่แล้ว..นั่นคือ ?ซิลิโคน?

ซิลิโคน เป็นวัสดุที่ถูกนำมาใช้กันมากในปัจจุบัน และจะใช้กันมากในวงการแพทย์ทางด้านศัลยกรรม ทั้งตกแต่ง แก้ไขความผิดปกติ และเสริมความงาม วัสดุอย่างซิลิโคน สามารถนำมาใช้ได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งการนำมาใช้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของซิลิโคน

เนื่องด้วยซิลิโคนมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกับวัสดุชนิดอื่น ทำให้เป็นที่นิยมในการนำมาใช้ แต่ถึงกระนั้น ซิลิโคนก็มีข้อจำกัดในการใช้งาน หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพฉบับนี้ จึงขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ?ซิลิโคน?

ซิลิโคน เป็นวัสดุสารสังเคราะห์โพลิเมอร์ในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีส่วนประกอบที่เล็กที่สุด เรียกว่า ซิโลเซน ชนิดของ ซิลิโคนที่นำมาใช้และพบได้บ่อยที่สุดก็คือ โพลีไดเม็ทธิล ซิโลเซน หรือ พีดีเอ็มเอส

วัสดุอย่าง ซิลิโคน หากมีส่วนประกอบทางเคมีที่รวมตัวกับสารอื่น จะทำให้ซิลิโคนอยู่ ในสถานะต่าง ๆ ได้ เช่น ของเหลว แขวนลอย ของแข็ง หรือ ทำให้มีความยืดหยุ่นใด ๆ ก็ได้ จึงมีการนำซิลิโคนมาใช้กันอย่างกว้างขวาง และมักพบว่ามีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการบินกันมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติคงตัว ทั้งในอุณหภูมิต่ำและ สูง นอกจากนี้ยังนำมาใช้ในวงการแพทย์ได้ เพราะมีปฏิกิริยากับร่างกายน้อย

การนำวัสดุซิลิโคนมาใช้ในวงการแพทย์ มักเกิดประโยชน์สำหรับการนำมาผลิตเป็นท่อสำหรับให้สารทางหลอดเลือด ทำเลนส์ตาเทียม ข้อเทียม นำมาฝังเพื่อเสริมความงาม เช่น เสริมจมูก เสริมเต้านม โหนกแก้ม คาง และการใช้ทำเป็นถุง เพื่อยึดขยายผิวหนัง และแม้แต่ฝังในอวัยวะเพศชาย เพื่อช่วยให้สามารถแข็งตัวได้ในรายที่หมดสมรรถภาพ อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบของลิ้นหัวใจเทียมเช่นกัน

ด้วยคุณสมบัติที่มีความคงทน ความตึงผิวต่ำ และไม่เป็น พิษ ทำให้สามารถฝังไว้ในร่างกายได้เป็นเวลานาน โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย ซิลิโคนที่นำมาใช้ทางการแพทย์ได้นั้น ต้องผ่านขบวนการผลิตที่มีความบริสุทธิ์สูง ปราศจากสารเจือปน และต้องมีมาตรฐานการผลิตเพื่อการอุตสาหกรรม ที่ต้องผ่านกระบวนการการตรวจสอบคุณภาพและทดสอบการใช้ในสิ่งมีชีวิตมาแล้วจึงจะสามารถนำมาใช้กับคนได้

สำหรับความต้องการในเรื่องการเพิ่มขนาดหน้าอกของทั้งเพศหญิงและชาย ทำให้เริ่มมีการใช้ถุงซิลิโคนเสริมหน้าอกกันมาตั้งแต่ 50 ปีก่อน เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาเป็นลำดับเพื่อความปลอดภัย จนมีลักษณะใกล้เคียงเต้านมธรรมชาติ ซึ่งมีรายงานว่า การเสริมหน้าอก ด้วยถุงซิลิโคนที่ผ่านมาตร ฐานทางการแพทย์นั้น มีความปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และโรคทางระบบภูมิต้านทาน

แต่ด้วยคุณสมบัติของซิลิโคนที่นำมาใช้ ก็มีอันตราย ที่เกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมัก เกิดจากการใช้งานไม่ถูกวิธี เช่น การทำผ่าตัดที่ขาดประสบการณ์ การผ่าตัดที่ไม่สะอาดเพียงพอ การใช้ขนาดของซิลิโคนที่ไม่เหมาะสม และการขาดความเข้าใจในการดูแลหลังผ่าตัด หรือในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นมาแล้วไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้องและรวดเร็ว นั่นก็ทำให้เกิดอันตราย อันเป็นข้อเสียที่สามารถเกิดขึ้นได้ จึงควรระมัดระวัง และศึกษาข้อดีข้อเสียจากแพทย์เสียก่อน

ดังนั้นแล้ว ก็มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะรับการทำศัลย กรรมความงามทั้งที่ใช้ซิลิโคน หรือไม่ใช้ซิลิโคนก็คือ ต้องมีการศึกษาให้รอบด้านทั้งข้อดี ข้อเสีย และควรสังเกตประสบการณ์ของแพทย์ด้วย มิใช่เชื่อจากสื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว

การพัฒนาของวัสดุทางการแพทย์ จะมีต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองทั้งการรักษาโรค และการเสริมความงาม โดยน่าจะไปในทิศทางที่มีความปลอดภัย คงทนถาวรมากขึ้น คุณสมบัติใกล้เคียงกับเนื้อเยื่อจริงมากขึ้น โดยอาจไม่ใช้วัสดุซิลิโคนก็ได้ อาจจะเป็นการปลูกถ่ายเซลล์ของมนุษย์เอง หรือกลุ่มสเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด)

ต้องบอกว่า เทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น..กำลังก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งเสียจริง..

นพ.คชินท์ วัฒนะวงษ์
หน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

10 อันดับ Galaxy ที่สวยงามที่สุด

เชื่อว่าหลายๆท่านเป็นคนชอบดูดาว เพราะสวยงามจนไม่อาจละสายตา ทีมงาน เลยนำหัวข้อ "10 อันดับ Galaxy ที่สวยงามที่สุด" มาเสนอกันครับ จะเป็นยังไงบ้างต้องติดตามชมเลยครับ

10. Hoag's Object



กาแล็คซี่รูปร่างคล้ายวงแหวน นักดาราศาสตร์ตั้งคำถามกับมันว่า มันเป็นกาแล็คซี่เดี่ยว หรือกาแล็คซี่คู่ ?? คำถามนี้เป็นที่กระจ่างในปี ค.ศ.1950 เมื่อนักบินอวกาศชื่อ Art Hoag ให้คำอธิบายว่า จุดศูนย์กลางนั้นคือดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยกลุ่มดวงดาวที่มีสีฟ้า ภาพนี้ถูกถ่ายไว้ได้ด้วยกล้องถ่ายอวกาศขนาดยักษ์ ฮับเบิลส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2001 กาแล็คซี่นี้มีความกว้าง 100,000 ปีแสง และมีความยาว 600 ล้านปีแสง




9. M81


M81 เป็นกาแล็คซี่แบบก้นหอยที่มีความใหญ่และสวยงามมาก ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของกลุ่มดาว Ursa Major ที่ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวที่สว่างสุกใสมากที่สุดเมื่อมองจากโลก มีระยะประมาณ 11.8 ล้านปีแสง




8. Galaxy NGC 3370



กาแล็คซี่รูปก้นหอยนี้ตั้งอยู่ห่างจากกลุ่มดาวลีโอ (Leo) ไปประมาณ 98 ล้านปีแสง รูปนี้ถูกถ่ายได้โดยกล้องฮับเบิลส์ ในปี ค.ศ.1994 การระเบิดซูเปอร์โนว่าแบบ Type Ia ได้เกิดระเบิดขึ้น ณ ศูนย์กลางของกาแล็คซี่นี้



7. Galaxy NGC 1512



กาแล็คซี่แบบก้นหอยซึ่งมีแถบสีนี้อยู่ห่างจากกลุ่มดาว Horologium ไปประมาณ 30 ล้านปีแสง กาแล็คซี่นี้มีความสุกใสมากพอแม้จะดูจากกล้องโทรทรรศน์สมัครเล่นก็ตามแต่ กาแล็คซี่นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 70,000 ปีแสงซึ่งมีขนาดพอๆกับทางช้างเผือกของเรา น่าสังเกตว่าใจกลางของกาแล็คซี่นี้เป็นคล้ายๆกับวงนิวเคลียร์รอบๆ



6. Supernova 1987A



2 ทศวรรษที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจุดที่มีการระเบิดที่สว่างไสวที่สุดในรอบ 400 ปีที่ผ่านมา ดาวที่ถูกกำหนดไว้นั่นคือ Supernova 1987A ในรูปนั้นแสดงถึงขอบเขตทั้งหมดของกาแล็คซี่แห่งนี้ วงแหวนรอบๆในรูปนั้นคาดการณ์กันว่าน่าจะมีระยะประมาณ 20,000 ปีแสง หลังจากการระเบิด รูปนี้ถูกถ่ายโดยกล้องฮับเบิลส์ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.2006




5. Grand spiral galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม NGC 123 กาแล็คซี่นี้เป็นกาแล็คซี่ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ดาวมาก มายและฝุ่น เสมือนคล้ายกับก้นหอย




4. The Whirlpool galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Messier 51a , M51a , NGC 5194 กาแล็คซี่วังน้ำวนแห่งนี้อยู่ห่างจากกลุ่มดาว Canes Venatici ไปประมาณ 23 ล้านปีแสง กาแล็คซี่นี้รวมไปถึง NGC 5195 ซึ่งเป็นกาแล็คซี่ข้างเคียงนั้น สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดายแม้จะมองจากกล้องโทรทรรศน์สมัครเล่น และทั้ง 2 กาแล็คซี่นี้มักจะสามารถมองเห็นได้จากกล้องสองตา กาแล็คซี่นี้เป็นที่นี่ยมในหมู่ของนักดาราศาสตร์ระดับสูงที่ซึ่งต้องการทำ ความเข้าใจกับโครงสร้างและการมีปฏิสัมพันธ์ของกาแล็คซี่อีกด้วย




3. 2MASX J00482185-2507365 occulting pair



กาแล็คซี่นี้เป็นกาแล็คซี่คู่ที่ซ้อนกันที่พบในบริเวณใกล้เคียงกับกาแล็คซี่ NGC 253 (กาแล็คซี่ช่างแกะสลัก) กาแล็คซี่ทั้งคู่นี้อยู่ห่างไกลจากโลกมากกว่า NGC 253




2. Black Eye galaxy



กาแล็คซี่รูป ก้นหอยที่อยู่ในกลุ่มดาว Coma Berenices , Messier 64 หรือเป็นที่รู้จักที่สุดในนาม "Black Eye" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "Sleeping Beauty galaxy เป็นที่รู้จักอย่างดีในหมู่ของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นเพราะว่าสามารถมองเห็น ได้อย่างชัดเจนจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก




1. The Sombrero Galaxy



หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม M104 หรือ NGC 4594 เป็นกาแล็คซี่ที่อยู่ในกลุ่มดาว Virgo มันมีใจกลางที่สว่างไสวมาก และปกติมันมักจะโป่งนูนขึ้นมา มีขนาดความใหญ่ประมาณ +9.0 ซึ่งทำให้มันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก ด้วยความที่ศูนย์กลางมันมีขนาดใหญ่มาก และการที่โป่งนูนมาก ทำให้มันดึงดูดนักดาราศาสตร์ระดับสูงให้หันมาสนใจมันเป็นอย่างดี จึงทำให้มันกลายเป็นกาแล็คซี่ที่สวยงามที่สุด เท่าที่มนุษย์เคยค้นพบมา



ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Toptenthailand.com

ความหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก

ไขปริศนาเลขบัตรประชาชนไทยทั้ง 13 หลัก อยากรู้มั้ย ว่าแต่ละตำแหน่งหมายถึงอะไร ค้นหาคำตอบได้ที่นี่

13 เลขนี้ มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน ?ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย? ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

โดยความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเรียนหรือทำอะไร ตัวเลขก็ล้วนมีเอี่ยว หรือมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนเราเสมอ และในทางกลับกัน ตัวเลขบางตัวอาจจะทำให้เรามีความสุขขึ้นด้วยซ้ำ เช่น ตัวเลขเพิ่มขึ้นของเงินเดือนหรือโบนัส ตัวเลขในบัญชีรายรับ ตัวเลขมูลค่าเพิ่มของหุ้นที่เราซื้อ ฯลฯ ยกเว้น ตัวเลขดอกเบี้ยเงินกู้ ที่งามโดยไม่ต้องรดน้ำ หรือตัวเลขยอดหนี้ที่ยังไม่จ่าย ส่วนตัวเลขที่น่ารังเกียจอีกตัว คือ ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้นของสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงาน เป็นต้น

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี ?ตัวเลข? ที่เกี่ยวพันกับความเชื่อต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศอีกหลายตัว เช่น คนไทยถือว่า เลข 9 เป็นเลขมงคล เพราะออกเสียงว่า ?เก้า? ที่พ้องกับคำว่า ?ก้าว? อันหมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไทยจำนวนไม่น้อย ไปทัวร์ไหว้พระ 9 วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล จนได้กลายมาเป็นการ ?ทำบุญ? อีกรูปแบบที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

สำหรับฝรั่ง เขาจะถือว่า เลข 13 เป็นเลขอาถรรพ์ หรือเลขอัปมงคล หรือเรียกกันว่า ลัคกี้นัมเบอร์ (Lucky number) สาเหตุมาจากอาหารมื้อสุดท้าย ของพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่า เดอะลาสซับเปอร์ (The Last Supper) นั้น มีสาวกร่วมโต๊ะพร้อมกับพระองค์ นับรวมแล้วได้ 13 คนพอดี ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันศุกร์ พระองค์ก็ถูกจับตรึงกางเขนจนสิ้นพระชนม์ เขาจึงถือว่าวันศุกร์ที่ตรงกับวันที่ 13 เป็นวันโชคร้าย

แม้ว่าเลข 13 จะเป็นเลขอาถรรพ์ของฝรั่ง แต่คนไทยโดยทั่วไป ไม่ได้ถือกับตัวเลขดังกล่าว และที่น่าสนใจคือ มี เลข 13 ที่เกี่ยวพันโดยตรงกับคนไทย ซึ่งเชื่อว่า คงมีคนอีกไม่น้อยไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ เลขประจำตัวประชาชนในบัตรประชาชน หรือที่เดี๋ยวนี้เรียก สมาร์ทการ์ด ที่มีด้วยกัน 13 หลัก และแต่ละหลักก็มิใช่แค่เป็นเพียงจำนวนนับธรรมดาๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ด้วย ซึ่งกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ ดังนี้

สมมุติว่า เลขบัตรประชาชนของเราเขียนไว้ว่า 1 1001 01245 29 9 (เขียนเว้นวรรค ตามแบบ) แต่ละหลักก็จะมีความหมายดังนี้

หลักที่ 1 (คือหมายเลข 1 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง ประเภทบุคคล ซึ่งมีอยู่ 8 ประเภทได้แก่

ประเภทที่ 1 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย และได้แจ้งเกิดภายในกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2527 เป็นต้นไป อันเป็นวันเริ่มแรกที่เขาประกาศให้ประชาชนทุกคน ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลัก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองไปแจ้งเกิดที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนในเขตที่อยู่ภายใน 15 วันนับแต่เกิดมา ตามที่กฎหมายกำหนด เด็กคนนั้นก็ถือเป็นบุคคลประเภท 1 และจะมีเลขประจำตัวขึ้นด้วยเลข 1 เช่น เด็กหญิงส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2527 และพ่อไปแจ้งเกิดที่เขตดุสิตภายในวันที่ 17 มกราคม 2527 เด็กหญิงส้มจี๊ด ก็จะมีหมายเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 1 และก็ต่อด้วยเลขหลักอื่นๆ อีก 12 ตัว เป็น 1 1001 01245 29 9 เป็นต้น ซึ่งเลขนี้จะปรากฏในทะเบียนบ้าน และจะเป็นเลขประจำตัว เมื่อส้มจี๊ดไปทำบัตรประชาชนตอนอายุ 15 ปี

ประเภทที่ 2 คือ คนที่เกิดและมีสัญชาติไทย ได้แจ้งเกิดเกินกำหนดเวลา หมายความว่า เด็กคนใดก็ตามที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นไป แล้วบังเอิญว่าพ่อแม่ผู้ปกครองลืมหรือติดธุระ ทำให้ไม่สามารถไปแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตภายใน 15 วันตามกฎหมายกำหนด เมื่อไปแจ้งภายหลัง เด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 2 และจะมีเลขตัวแรกในทะเบียนบ้านขึ้นด้วยเลข 2 ทันที เช่น ในกรณีส้มจี๊ด หากพ่อไปแจ้งเกิดให้ ในวันที่ 18 มกราคม 2527 หรือเกินกว่านั้น ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวเป็น 2 1001 01245 29 9 ในทะเบียนบ้าน และเมื่อไปทำบัตรประชาชนในภายหน้า

ประเภทที่ 3 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในสมัยเริ่มแรก (คือตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม 2527) หมายความว่า บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ณ ที่ใดที่หนึ่งในประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 คนนั้นถือว่าเป็นบุคคลประเภท 3 และก็จะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 3 เช่น ส้มจี๊ด เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2501 และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านแล้ว ส้มจี๊ดก็จะมีเลขประจำตัวในทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชนเป็น 3 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 4 คือ คนไทยและคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าวแต่แจ้งย้ายเข้า โดยยังไม่มีเลขประจำตัวประชาชน ในสมัยเริ่มแรก หมายความว่า คนไทยหรือคนต่างด้าว ที่มีใบสำคัญคนต่างด้าว ที่อาจจะเป็นบุคคลประเภท 3 คือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเดิมอยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เลขประจำตัว ก็ขอย้ายบ้านไปเขตหรืออำเภออื่น ก่อนช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 ก็จะเป็นบุคคลประเภท 4 ทันที เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในสำนักทะเบียนเขตคลองสาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2527 ส้มจี๊ดก็ขอย้ายบ้านไปเขตดุสิต โดยที่ส้มจี๊ดยังไม่ทันได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสาน พอแจ้งย้ายเข้าเขตดุสิต ส้มจี๊ดก็จะกลายเป็นบุคคลประเภท 4 มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วย 4 กลายเป็น 4 1001 01245 29 9 ทันที แต่ถ้าส้มจี๊ดย้ายจากเขตคลองสานเดิม ไปเขตดุสิต หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ส้มจี๊ดก็ยังเป็นบุคคลประเภท 3 อยู่ เพราะถือว่าจะได้เลขประจำตัวจากเขตคลองสานแล้ว จะย้ายอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง

การกำหนดให้บุคคลเริ่มมีเลขประจำตัว 13 หลักในทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 อันเป็นวันสุดท้าย ของการดำเนินการให้ประชาชน ที่ไม่มีเลขประจำตัวในบัตรหรือทะเบียนบ้าน ได้มีเลขประจำตัวจนครบแล้วนั้น ก็เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดเลขประจำตัวดังกล่าวมาก่อนเลย ดังนั้น ช่วงที่ว่าจึงเป็นระยะเวลาจัดระบบให้เข้าที่เข้าทาง เพราะหลังจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 แล้ว ทุกคนจะต้องมีเลขประจำตัวเพื่อสำแดงตนว่า เป็นบุคคลประเภทใด โดยดูตามเงื่อนไขในแต่ละกรณี ซึ่งมีอีก 4 ประเภท คือ

ประเภทที่ 5 คือ คนไทยที่ได้รับอนุมัติให้เพิ่มชื่อ เข้าไปในทะเบียนบ้านในกรณีตกสำรวจ หรือกรณีอื่นๆ เช่น ส้มจี๊ดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเขตดุสิตอยู่แล้ว แต่บังเอิญว่าตอนที่มีการสำรวจรายชื่อผู้อยู่ในบ้าน เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ชื่อของส้มจี๊ดหายไปจากทะเบียนบ้าน เมื่อไปแจ้งเจ้าหน้าที่และตรวจสอบแล้วว่าตกสำรวจจริง หรือจะเป็นเพราะกรณีอื่นใดก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็จะเพิ่มชื่อให้ แต่ส้มจี๊ดก็จะมีหมายเลขในทะเบียนบ้านเป็นบุคคลประเภท 5 และบัตรประชาชนจะขึ้นต้นด้วยเลข 5 ทันที คือ กลายเป็น 5 1001 01245 29 9

ประเภทที่ 6 คือ ผู้ที่เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ในลักษณะชั่วคราว กล่าวคือ คนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้สัญชาติไทย เพราะทางการยังไม่รับรองทางกฎหมาย เช่น ชนกลุ่มน้อยตามชายแดน หรือชาวเขา กลุ่มนี้ถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนบุคคลที่เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ชั่วคราว เช่น นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย แม้บางคนจะถือพาสปอร์ตประเทศของตน แต่อาจจะมีสามีหรือภริยาคนไทย จึงไปขอทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านสามีหรือภริยา คนทั้งสองแบบที่ว่า ถือว่าเป็นบุคคลประเภท 6 เลขประจำตัวในบัตรจะขึ้นต้นด้วยเลข 6 เช่น 6 1012 23458 12

ประเภทที่ 7 คือ บุตรของบุคคลประเภทที่ 6 ซึ่งเกิดในประเทศไทย คนกลุ่มนี้ในทะเบียนประวัติจะมีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 7 เช่น 7 1012 2345 133

ประเภทที่ 8 คือ คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย คือ ผู้ที่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือคนที่ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย และคนที่ได้รับการให้สัญชาติไทย ตั้งแต่หลังวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เป็นต้นไปจนปัจจุบัน คนกลุ่มนี้เลขในทะเบียนประวัติจะขึ้นด้วยเลข 8 เช่น 8 1018 01234 24 7

คนทั้ง 8 ประเภทนี้ จะมีเพียงประเภทที่ 3, 4 และ 5 เท่านั้น ที่จะมีบัตรประชาชนได้เลย ส่วนประเภทที่ 1 และ 2 จะมีบัตรประชาชนได้ ก็ต่อเมื่อมีอายุถึงเกณฑ์ทำบัตรประจำตัวประชาชน คืออายุ 15 ปี แต่สำหรับบุคคลประเภทที่ 6, 7 และ 8 จะมีเพียงทะเบียนประวัติเล่มสีเหลืองเท่านั้น จะไม่มีการออกบัตรประชาชนให้

ต่อไปคือ หลักที่ 2 ถึงหลักที่ 5 (เลข 1001 ในตัวอย่างหรือสี่ตัวถัดไปจากตัวแรก) จะหมายถึง รหัสของสำนักทะเบียน หรืออำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนขณะที่ให้เลข ซึ่งก็หมายถึงถิ่นที่อยู่ของเรานั่นเอง กล่าวคือ เลขหลักที่ 2 และ 3 จะหมายถึงจังหวัดที่อยู่ ส่วนหลักที่ 4 และ 5 หมายถึงเขตหรืออำเภอในจังหวัดนั้นๆ เช่น ถ้าเขียนว่า 1001 ก็หมายถึงว่า คุณอาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ในเขตดุสิต เพราะ 10๐ ในหลักที่ 2 และ 3 หมายถึงกรุงเทพมหานคร ส่วนเลข 01 ในหลักที่ 4 และ 5 คือรหัสของสำนักทะเบียนเขตดุสิต หรือถ้าเขียนว่า 1101 ก็จะหมายถึง อยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ อำเภอเมือง เพราะ 11 แรกคือ รหัสจังหวัดสมุทรปราการ และ 01 หลัง คือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ เป็นต้น

สำหรับ หลักที่ 6 ถึงหลักที่ 10 (เลข 01245 ในตัวอย่าง) จะหมายถึง กลุ่มที่ของบุคคลแต่ละประเภท ตามหลักแรก (หลักที่ 1) ซึ่งทางสำนักทะเบียนในแต่ละแห่ง ก็จะจัดกลุ่มเรียงไปตามลำดับ หรือหากเป็นเด็กเกิดใหม่ในปัจจุบัน เลขดังกล่าวก็จะหมายถึง เล่มที่ของสูติบัตร (ใบแจ้งเกิดที่อำเภอหรือเขตออกให้) ซึ่งก็คือเลขประจำตัวในทะเบียนบ้านของเด็กที่แต่ละอำเภอหรือเขตออกให้ และจะไปปรากฎในบัตรประชาชน เมื่อถึงอายุต้องทำบัตรนั่นเอง แต่ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์เลขนี้ ก็จะปรากฏอยู่แค่ในทะเบียนบ้านของเด็กเท่านั้น

หลักที่ 11 และ 12 (หมายเลข 29 ในตัวอย่างสมมุติ) จะหมายถึง ลำดับที่ของบุคคลในแต่ละกลุ่มประเภท เป็นการจัดลำดับว่าเราเป็นคนที่เท่าไรในกลุ่มของบุคคลประเภทนั้นๆ

หลักที่ 13 (เลข 9 ตัวสุดท้ายในตัวอย่าง) จะหมายถึง ตัวเลขสำหรับตรวจสอบความถูกต้องของเลขทั้ง 12 หลักแรกอีกที

สำหรับเลขตั้งแต่หลักที่ 6 ถึง 13 นี้เป็นการจัดหมวดหมู่ และเรียงลำดับบุคคลในแต่ละประเภทของสำนักทะเบียนในแต่ละท้องที่ ซึ่งเราก็คงไม่ต้องรู้รายละเอียดอะไรลึกไปกว่านี้ เพราะรู้แล้วอาจจะงงเปล่าๆ

เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ตัวเลข 13 หลักที่เป็นหมายเลขในบัตรประชาชน หรือเลขประจำตัวประชาชนของเราแต่ละคนนี้ จะไม่มีการซ้ำกันเลย ผิดกับชื่อหรือนามสกุล ยังมีซ้ำกันได้ และจะเป็นเลขประจำตัวเราจนตาย ไม่มีการเปลี่ยน หรือยกให้คนอื่น และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า ในอนาคตจะต้องมีการเติมเลข อย่างเลข 8 เข้าไปอีก เพราะเลขไม่พอใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือหรือไม่ เขาก็บอกว่าคงอีกนาน อาจจะถึง 100 ปีโน่น เพราะการที่เขาแยกแยะบุคคลเป็นประเภทต่างๆ และยังแยกย่อยเป็นจังหวัดอำเภอ แล้วลงรายละเอียดไปเป็นกลุ่มๆในแต่ละประเภทอีกนั้น ทำให้เพดานหรือช่วงตัวเลขมีความห่างมาก จนสามารถรองรับจำนวนคนได้อีกมาก และหากใครสงสัย หรือมีปัญหาในเรื่องทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส บัตรประชาชน ก็สามารถสอบถามไปได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง โทร. 1548

ตัวเลข 13 หลักที่กล่าวข้างต้น เป็นเลขประจำตัวประชาชนของแต่ละคนนี้ แม้จะมิใช่ตัวเลขที่เราต้องใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวัน ยกเว้นใช้ในการกรอกเอกสารบางอย่าง เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ แต่เลขนี้ก็มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการสำแดงตัวตน ?ความเป็นคนไทยหรือคนในประเทศไทย? ที่ทำให้เราสามารถอาศัยอยู่ในประเทศไทย และใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้

ที่มา : มติชน

ชนิดของทะเบียนรถและความหมาย

ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า

1.รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน รถยนต์รับจ้างสามล้อ รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง และรถจักรยานยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ได้แก่ รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน ที่ใช้รับจ้างระหว่างจังหวัด โดยรับส่งคนโดยสารได้เฉพาะที่นายทะเบียนกำหนด

- พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเหลืองสะท้อนแสง

- ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น

สีแดง สำหรับรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด

สีดำ สำหรับรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์

สีเขียว สำหรับรถยนต์รับจ้างสามล้อ

สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง

2.รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า

รถยนต์บริการธุรกิจ เช่น รถที่ใช้ขนคนในสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่ง หรือสถานีรถไฟ และรถโรงแรม

รถยนต์บริการทัศนาจร เช่น รถนำเที่ยวของบริษัททัวร์ โดยรถพวกนี้

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีเขียวสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็นสีขาว

3.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ พวกรถส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเก๋ง รถตู้ รถกระบะ มอเตอร์ไซค์ รถ MPV หรือรถ SUV โดย

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาวสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลขทะเบียน และขอบแผ่นป้ายเป็น

สีดำ สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน และรถจักรยานยนต์

สีน้ำเงิน สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน

สีเขียว สำหรับรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล

สีแดง สำหรับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล

หมายเหตุ จะมีแผ่นป้ายทะเบียนชนิดพิเศษ พวกเลขสวย โดยจะเป็นป้ายที่ออกให้ประมูล ซึ่งจะมีสีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียน หมายเลขทะเบียน และตัวอักษรต่างไปจากแผ่นป้ายทะเบียนปกติ และแต่ละจังหวัด สีของพื้นแผ่นป้ายทะเบียนก็จะไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ตามประกาศของกรมการขนส่งทางบก (ยกเว้นรถสามล้อส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ ไม่มีป้ายพิเศษนี้)

4.รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถใช้งานเกษตรกรรม

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีส้มสะท้อนแสง

-ตัวอักษร หมายเลข และขอบป้ายเป็นสีดำ

5.รถยนต์ของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต และรถจักรยานยนต์ของคณะผู้แทนทางการทูต

พวกรถทูต ลักษณะป้ายจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ท ตามด้วยรหัสประเทศ ขีด แล้วก็เลขทะเบียน ตัวอย่างเช่น รถทูตญี่ปุ่นก็จะเป็น ท44-9999

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีขาว (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง)

-ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีดำ

6.รถยนต์ของบุคคลในหน่วยงานพิเศษของสถานทูต ในคณะผู้แทนทางกงสุล ในองค์การระหว่างประเทศ หรือทบวงการชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย และรถจักรยานยนต์ของบุคคลข้างต้น ลักษณะป้ายก็เหมือนรถทูต แต่ต่างกันตรงที่รถในหน่วยงานพิเศษของสถานทูตจะใช้ตัวอักษร พ ส่วนรถกงสุลจะใช้ตัวอักษร ก ส่วนรถของสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ในไทย จะใช้ตัวอักษร อ และ

-พื้นแผ่นป้ายเป็นสีฟ้า (สังเกตว่าไม่มีคำว่า สะท้อนแสง)

-ตัวอักษร ตัวเลข และขีดเป็นสีขาว

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ ขนาด และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถ พ.ศ.2547

ส่วนแผ่นป้ายแดง พ.ร.บ.รถยนต์ 2522 กำหนดให้ขับขี่ได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน

จะนำมาขับในถนนหลวงไม่ได้เว้นแต่ได้รับอนุญาต

จุดประสงค์การใช้งานรถป้ายแดงคือ

1.รถมีไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม

2.เป็นรถใหม่


ที่มา : tamdee.net

2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ?

2013 ระบบสุริยะวิปริต อวสานโลก ? (ไทยโพสต์)

ตามปฏิทินของชนเผ่ามายาที่ทำไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ออกคำทำนายไว้ว่า ปี พ.ศ.2555 หรือ ค.ศ.2012 จะเป็นวันอวสานโลก ถึงขนาดทำเป็นหนังฉายให้คนทั้งโลกได้ดูสุดยอดมหาภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึงปี 2012 ผลจากความแปรปรวนของสุริยะจักรวาลและความผิดปกติของแสงอาทิตย์

ด้านนักวิทยาศาสตร์ก็มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องจักรวาลและอวกาศ ได้ค้นพบความวิปริตของระบบสุริยะจักรวาลที่ส่งผลต่อทั้งโลก ทั้งพายุฝน น้ำท่วม น้ำแล้ง แผ่นดินไหว สึนามิ มีผู้สังเวยชีวิตมหาศาล แล้วตอนนี้ที่หิมะและอากาศเย็นยะเยือกกระหน่ำยุโรป ก็คาดเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก

ปี 2012 จะเป็นวันอวสานโลกจริงตามคำทำนายที่ชนเผ่ามายาระบุไว้หรือไม่....ไม่มีใครรู้

แต่ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการออกแบบเครื่องตรวจจับคลื่น ไมโครเวฟอินฟาเรด องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา เจ้าของรางวัลวิศวกรดีเด่นจากนาซา ในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในระบบตรวจจับพลังงานคลื่นไมโครเวฟจากนอกโลก เป็นนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคนที่ออกมาเตือนให้ทุกคนทราบถึงความปั่นป่วนของ ระบบสุริยะจักรวาลที่จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อโลกโดยตรง และที่งานสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง "เจาะลึกภัยพิบัติ...พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด"

เขาบอกว่า จากการศึกษาไม่ใช่ ปี 2012 แต่เป็นปี 2013 ที่โลกจะเผชิญหายนะสูงสุด แม้จะไม่ตรงกับวันสิ้นโลกในปฏิทินของชาวมายา แต่ก็ได้ความว่า อีก 3 ปี พวกเราไม่รอดแน่ เป็นข้อมูลที่น่าตกใจ

ดร.ก้องภพ ให้ดูภาพเกี่ยวกับโลก ทางช้างเผือก ระบบสุริยะ และกาแล็กซี่ของโลก พร้อมระบุสิ่งที่จะพูดต่อจากนี้เป็นความเห็นส่วนตัวจากการศึกษาและรวบรวม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์การนาซาที่กำลังทำงานอยู่ และ เขาบอกว่า ปี 2556 หรือ ค.ศ.2013 เป็นปีที่จะเกิดโนวาการระเบิดที่มีพลังงานมากที่สุด มันจะปลดปล่อยพลังงาน มหาศาล เพราะมีแนวโน้มว่าปฏิกิริยาพระอาทิตย์จะขึ้นสูงสุดในต้นปี 2013 นี้ และเกิดการพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก ทำให้เกิดทั้งความร้อนสูงและการหดตัวของระบบสุริยะ

ช่วงนั้นดวงอาทิตย์โคจร ตัดผ่านทางช้างเผือกในทุก ๆ 33-35 ล้านปีพอดี ซึ่งทางช้างเผือกมีมวลของดาว 2,000-4,000 ล้านดวง หากเกิดการบีบหดตัว ดวง ดาวและอุกกาบาตบางส่วนจะกระเด็นเข้ามาในระบบสุริยะ ซึ่งเมื่อ 35 ล้านปีที่ แล้วเป็นช่วงที่มีอุกกาบาตเข้ามาเยอะ แต่ความเสี่ยงจะมากกว่า 10 เท่า ในปี 2013

"ตลอดระยะเวลา 10-20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียทำงานองค์การอวกาศรัสเซียเทียบเท่านาซา สำรวจระบบสุริยะ พบมีการเปลี่ยนแปลงขอบด้านนอกสุดของระบบสุริยะ โดยวัดปริมาณความสว่างสูง ขึ้น 1,000% มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เชื่อว่ามีพลังงานบางอย่างเข้ามาในระบบสุริยะ นาซาเองก็พบการเปลี่ยนแปลง เช่นกัน ภาพถ่ายจากดาวเทียม Imax ที่โคจรรอบโลก ปรากฏพลังงานที่เล็ดลอดเข้ามาในะบบสุริยะ เดินทางด้วยความเร็วสูง แนวที่มี พลังงานรั่วใกล้กับทางช้างเผือก แล้วยังค้นพบว่า เมื่อวัดแกนพลังงานนี้มี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในระยะ 6 เดือน ไม่ใช่ลักษณะค่อยเป็นค่อยไป นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์"

ดร.ก้องภพ ให้ข้อมูลอีกว่า นอกจากรายงานของนาซายืนยัน การบินอวกาศยุโรปยังมีภาพแบบร่างพลังงานสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่และความร้อนสูง มากเคลื่อนตัวเข้าหาดวงอาทิตย์ แล้วยังมีข่าวอย่างเป็นทางการระบุการบีบอัดของชั้นขอบนอกระบบสุริยะ จะทำให้พลังงานรังสีคอสมิกเข้ามาในระบบสุริยะมากเป็นพิเศษ ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศบนโลก

นอกจากนี้ มีหลักฐานแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์มีปฏิกริยาสูงสุดในรอบ 8,000 ปี และการที่นาซาส่งดาวเทียมโคจรที่ขอบด้านนอกเพื่อวัดความดันลมสุริยะช่วงปี 2547-2551 พบว่า ความเร็วลมสุริยะลดลงมาก ผลจากพลังงานบางอย่างเข้ามาบีบอัดลมสุริยะให้ลดลง สอดรับกับข่าวล่าสุดยืน ยันมีการเปลี่ยนแปลงด้านนอกสุดของระบบสุริยะ ส่งผลให้ความเร็วลมสุริยะลดลง 20 กิโลเมตรต่อวินาที ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2550 เป็นต้นมา และในตอนนี้ดาวเทียมวัดความเร็วลมสุริยะพบว่าลดลงถึง 0 แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ถึง 4 ปี

"ดวงอาทิตย์มีวัฏจักร ทุก ๆ 11 ปี จะมีการพลิกกลับขั้วของสนามแม่เหล็กและเป็นช่วงที่เกราะป้องกันดวงอาทิตย์ ต่ำสุด คาดการณ์ว่าจะเกิดปี 2013 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติรุนแรง จากการสำรวจของดาวเทียม ช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฏิกิริยาสูงสุด ทั้งฝุ่นละอองและอุกกาบาตเข้ามามากเป็นพิเศษ มีผลกระทบต่อดาวเคราะห์ทุกดวง" วิศวกรอาวุโสไทยองค์การนาซา กล่าว

เขายังให้ภาพความปั่นป่วนและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะถ้วนหน้า ตั้งแต่ดาวพลูโต ที่พบความกดอากาศเพิ่มขึ้น 300 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ภาพดาวเนปจูนแสดงให้เห็นความสว่างจ้าของชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ ดาวยูเรนัสก็เช่นเดียวกัน ความสว่างเพิ่มขึ้น กลุ่มเมฆมาก และมีการพลิกกับขั้วของสนามแม่เหล็ก ดาวเสาร์มีการเปลี่ยนแปลงในแนวเส้นศูนย์สูตรและเกิดปรากฏการณ์ออโรรา คือ มีแสงบนท้องฟ้าตอนกลางคืน แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กอย่างมาก ดาวพฤหัสก็สว่างขึ้นถึง 200 เปอร์เซ็นต์ และร้อนจัดขึ้น

ส่วนดาวอังคารเกิดสภาวะโลกร้อน น้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำ มีพายุ มีการก่อตัวของเมฆในชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ดาววีนัสสว่างขึ้น 2,500 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลา 30 ปี แม้แต่ดาวพุธก็ค้นพบสนามแม่เหล็กสูงมาก และเกิดน้ำแข็ง มีฝุ่นละอองที่พัดออกมา ส่วนหนึ่งมาจากความดันลมสุริยะลดลง

สำหรับ ดาวเคราะห์โลกที่มนุษย์อาศัยก็เปลี่ยนแปลงมาก วิศวกรอาวุโสไทยจากองค์การนาซา เปิดเผยว่า จากการวัดปริมาณรังสีคอสมิกมีสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ปริมาณจะลดลง แต่ปรากฏว่าไม่เป็นเช่นนั้น

"รังสีคอสมิกถ้ารับปริมาณมาก สิ่งมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ รวมถึงเกิดการกลายพันธุ์ เป็นโรคมะเร็ง แต่ไม่ต้องกังวลมาก การเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ปริมาณฝุ่นละอองที่เข้ามาในโลกมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะสูงขึ้นอีก 13 เท่าตัว ในปี 2556 ปริมาณอุกกาบาตที่วัดได้มีสูงมากในปี 2541 อาจเพราะมีเทคโนโลยีตรวจจับวัตถุหรือมีอุกกาบาตเข้ามาเยอะขึ้น ฝนดาวตกก็เพิ่มขึ้น ยืนยันปรากฏการณ์นี้แสดงว่ามีวิกฤติเข้ามาในโลกมากขึ้น"

ดร.ก้องภพ กล่าวต่อว่า อีกความผิดปกติที่เกิดขึ้นคือ การเปลี่ยนแปลงความดันอากาศรอบนอก ธรรมดาเกิดขึ้นทุก 11 ปี แต่เมื่อวัดครั้งสุดท้ายผิดไปจากเดิม 28 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชั้นบรรยากาศลดต่ำลง ส่งผลให้โลกของเราไวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก เช่นเดียวกับภาพจากดาวเทียมวัดสนามแม่เหล็กรอบนอกแสดงให้เห็นรูรั่ว ที่มี อนุภาคและพลังงานหลุดลอดเข้ามาส่งผลต่อสภาพอากาศโลก ขั้วโลกเหนือน้ำแข็งละลาย ขั้วโลกใต้หิมะน้ำแข็งเพิ่มขึ้น

เวลานี้มีรายงานวิจัยมากขึ้น ชี้สนามแม่เหล็กโลกส่งผลกระทบต่อรังสีคอสมิกที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพเมฆและก่อตัวของเมฆ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงความถี่ในการ เกิดแผ่นดินไหวส่งผลกระทบต่อโลกมากเป็นประวัติการณ์ ปี 2553 ทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ความร้อนที่เกิดขึ้นบนโลก ทั้งอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น ความสว่างของดวงอาทิตย์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ในทางเดียวกัน ทั้งยังมีข้อมูลสถิติปี 2552-2553 ระบุความสูญเสียจากภัยพิบัติเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า

ปี 2556 ที่ ดร.ก้องภพ คาดการณ์ว่าดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยาสูงสุด จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อดาวเทียม อุกกาบาตหรือหินนอกโลกอาจทำให้ดาวเทียมเสียหาย มนุษย์มีความเสี่ยงจากการเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะว่าจะได้รับรังสีแกมมา และคอสมิกปริมาณมาก รวมถึงเครื่องบินตก มีข้อมูลว่า 2-3 ปีมานี้ ปริมาณการส่งดาวเทียมไปนอกโลกจากทั่วโลกลดลง ก็ขึ้นกับการตี ความ ปี 2553 เป็นเพียงเริ่มต้นปฏิกิริยาสูงสุดของดวงอาทิตย์ อีก 3 ปีข้างหน้าจะรุนแรงขึ้น

ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน ปี 2402 มีผู้บันทึกไว้ว่าเกิดปฏิกิริยาพระอาทิตย์ครั้งใหญ่ ปีนั้นแสงอาทิตย์สว่างจ้า ระบบโทรเลขทำงานโดยอัตโนมัติ คนใช้โทรเลขถูกไฟฟ้าช็อตจากพลังงานที่เข้ามา ปัจจุบันผลกระทบจะสูงกว่าครั้งนั้น อาจ เกิดไฟฟ้าดับทั่วโลกหรืออุปกรณ์อิเล็กโทรนิกใช้การไม่ได้ ระบบหม้อแปลงไป จนถึงสายส่งเสียหาย สภาพอากาศแปรปรวน พายุถล่ม น้ำท่วม รวมถึงแผ่นดินไหว ต้องเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และหาวิธีอยู่รอด

"พื้นที่เสี่ยงกับปฏิกิริยานี้ คือ ขั้วโลก สหรัฐ แคนาดา ประเทศในแถบเส้นศูนย์สูตรเสี่ยงน้อยกว่าแต่ไม่ใช่ไม่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ ประมาท พม่าย้ายเมืองหลวงไม่มีเหตุผล เนเธอร์แลนด์สร้างบ้านลอยน้ำ เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐ สร้างเมืองตัวอย่างลอยน้ำ คาดว่าแล้วเสร็จปี 2013 หรือปี 2555 ทางการนอร์เวย์ย้ายศูนย์บัญชาการทหารลงใต้ดินเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัสเซียสร้างที่หลบภัยใต้ดิน 5,000 จุด เสร็จในปี 2012 นี่คือสิ่งที่แต่ละประเทศเตรียมการไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด" ดร.ก้องภพ กล่าวโดยไม่สรุปใด ๆ เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ความรู้จากข้อมูล วิทยาศาสตร์ที่ได้ศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญานของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ตาม ดร.ก้องภพ ฝากทิ้งท้ายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่จะมีขนาด ความรุนแรงแตกต่างกัน นโยบายของภาครัฐควรเน้นการป้องกันเพื่อลดการสูญเสีย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้แก้ที่ต้นเหตุ และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพตรวจจับสิ่งผิดปกติ มีกระบวนการแจ้งเตือนล่วงหน้า รวมถึงสร้างสถานที่หลบภัย ซ้อมอพยพบนเส้นทางหนีภัย อีกมาตรการหนึ่งที่สำคัญ เป็นการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วไปกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

ส่วนคนทั่วไปต้องเรียนรู้พึ่งพาตัวเอง นอกจากหวังพึ่งรัฐที่อาจช่วยเหลือได้ไม่ทันท่วงที เช่น สร้างคลังอาหารสำรองในพื้นที่ ปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงสำรองอาหารและอุปกรณ์ยังชีพที่จะใช้เอาตัวรอดในเหตุฉุกเฉิน 3-5 วัน ระยะยาวเห็นว่าทำตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางที่เหมาะสมและเกิด ประโยชน์ที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจากไทยโพสต์
ที่มา : kapook.com

10 อันดับเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโลก



อันดับ 10 Cahokia

ว่ากันว่าเมืองชื่อเก๋นี้มีคนอาศัยอยู่สามหมื่นคนทีเดียว ตั้งอยู่ที่แถวรัฐอิลลินอยส์ แถวๆ อเมริกาเหนือ และเรียกได้ว่าเป็นเมืองแรก จริงๆ ของประเทศมหาอำนาจนี้ ที่นี่มีอารยธรรมริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เกิดขึ้น มีสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกให้รู้ถึงความเจริญที่เคยมีมาในอดีต น่าสนใจมาก







อันดับ 9 Xi'an
ซีอาน เป็นเมืองที่เข้มแข็ง และแข็งแกร่งมาก ที่เมืองนี้มีสิ่งที่น่าตื่นตาคือกองทัพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่ถูกสร้างเป็นรูปปั้นกว่า 3,000 รูป ว่ากันว่าสุสานของพระองค์ก็อยู่แถวนี้ด้วย และถ้าหาเจอ ก็น่าจะมีสมบัติอยู่มากมายทีเดียว






อันดับ 8 Great Zimbabwe

ที่อัฟริกานี้เอง เกิดเมืองก่อนพวกยุโรปเสียอีกแน่ะ เมืองนั้นชื่อว่าซิมบับเว เชื่อกันว่ามีอารยธรรมที่พร้อมมูลทุกอย่าง มีการพบหลักฐานของการสร้างรูปปั้น และสถาปัตยกรรมต่างๆ มากมายเป็นจักรวรรดิย่อยๆ เลยละ






อันดับ 7 Thebes

เมื่อพูดถึงอียิปต์ คนมักคิดถึงไคโรเป็นหลัก แต่ว่าหัวใจหลักของที่นี่คือเมืองที่อยู่แถวแม่น้ำไนล์อย่าง ธีปส์ ที่เป็นเมืองหลวงมากว่า 4500 ปี มีวัดศักดิ์สิทธิ์อย่าง คาร์นัค และลัคซอร์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี






อันดับ 6 Tenochtitlan

เมืองแห่งตำนาน ที่เคยเป็นเมืองที่สวยที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่ที่เม็กซิโก ได้รับความเชื่อว่าเมื่อก่อนมีคนอาศัยถึงสามแสนคนทีเดียว และพวกสเปนก็อพยพเข้ามา นำอารยธรรมมากมายเข้ามาเผยแพร่ สืบต่อมาจนวันนี้






อันดับ 5 Cuzco
เมื่อก่อนมีคำว่า All roads in the Incan empire lead to Cuzco ก่อนที่จะมาเป็น All roads lead to Rome เมืองแห่งนี้มีความเจริญ รุ่งเรืองอย่างมาก และเคยเป็นที่กล่าวถึงอย่างหนาหูทีเดียว







อันดับ 4 สวนลอยฟ้าแห่งบาบิโลน
อันนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ เมืองบาบิโลน ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดๆ เป็นเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงจริงๆ และมีจุดเด่นมาก เป็นหอคอยที่สูงเสียดฟ้า ขนาดใหญ่มหึมา







อันดับ 3 Constantinople
คอนสแตนติโนเบิล เมืองที่จักรพรรดิเมื่อก่อนสร้างไว้ เพื่อมาอยู่อาศัยสลับกับโรม เมืองนี้จึงเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุด ทั้งใหญ่โต ร่ำรวยไปด้วยอารยธรรม มหาวิทยาลัย โบสถ์ ฯลฯ มากมายจริงๆ






อันดับ 2 Athens

เอเธนส์ สถานที่เกิดของประชาธิปไตย ปรัชญา และโอลิมปิก ช่างเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงจริงๆ เลย และได้สร้างอะไรหลายๆ ตกทอด มาถึงชาวโลกมากมายด้วย มีทั้งวิหารพาเธนอนที่สวยงาม และมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่น่าชมจริงๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้ ที่นั่นจะสลายไปก็ตาม แต่อิทธิพลที่ตกทอดมา ไม่เคยจางไปไหนเลยจริงๆ






อันดับ 1 Rome
ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว" ไหมครับ กรุงโรมคงจะมีอาณาจักรที่ใหญ่มากอย่างแน่นอน ที่นี่มีเรื่องราว,วัฒนธรรมที่หลากหลายอย่างมาก เคยเป็นจักรวรรดิที่รุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีอารยธรรมที่ก้าวไกลกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งหมด ประชากรอยู่กันอย่างแสนสบาย เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่ทั้งเก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของโลก

ขอขอบคุณข้อมูล/ภาพประกอบจาก toptenthailand.com

กฎหมายครอบครัว (แก้ไขใหม่) ที่ประชาชนควรรู้

ตามที่ได้มีการแก้ไขและประกาศพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553 และเริ่มต้นใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วัน คือในวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นมานั้นมีผลให้ศาลเยาวชนและครอบครัวมีอำนาจพิจารณาคดีตามพระราชบัญญัติดังกล่าวตามมาตรา 10 (4) และ (5) คือ คดีคุ้มครองสวัสดิภาพและคดีอื่นๆ ที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลเยาวชนและครอบครัว เช่น คดีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว

พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546

มาตรา 40 เด็กที่พึงได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพได้แก่ (1) เด็กที่ถูกทารุณกรรม (2) เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด (3) เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา 41ผู้ใดพบเห็นหรือประสบพฤติกรรมที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กให้รีบแจ้ง หรือรายงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจหรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก การแจ้งหรือรายงานตามมาตรานี้ เมื่อได้กระทำโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองและไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา หรือทางปกครอง

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550

มาตรา 3 "ความรุนแรงในครอบครัว" หมายความว่า การกระทำใดๆ ที่มุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ หรือใช้อำนาจครอบงำผิดครองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบแต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท "บุคคลในครอบครัว" หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันท์สามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัย และอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน

พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553

มาตรา 172 ผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวมีสิทธิร้องขอให้ศาลเยาวชนและครอบครัวที่ตนมีถิ่นที่อยู่หรือภูมิลำเนา หรือศาลที่มีมูลเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นออกคำสั่งกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ตามกฎหมายว่า ด้วยการคุ้มครองผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวได้ ในกรณีที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวไม่อยู่ในสภาพและวิสัยที่จะร้องขอตามวรรคหนึ่งได้ญาติ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ พนักงานเจ้าหน้าที่ องค์การซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนตามกฎหมาย หรือองค์การที่มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ ครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหายจะกระทำการแทนก็ได้

มาตรา 174 ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัวให้ศาลมีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยห้ามผู้ถูกกล่าวหาเสพสุรา หรือสิ่งมึนเมา เข้าใกล้ที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงานของผู้ร้อง ใช้หรือครอบครองทรัพย์สิน หรือกระทำการใดอันอาจนำไปสู่ความรุนแรงในครอบครัวเป็นระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร

มาตรา 176 ให้ศาลแจ้งคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพไปยังพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ผู้ถูกกล่าวหามีถิ่นที่อยู่หรือมีภูมิลำเนาในเขตอำนาจเพื่อทราบ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาจงใจฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพโดยไม่มีเหตุอันสมควรศาลมีอำนาจออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหามาขังจนกว่าจะปฏิบัติตามคำสั่งแต่ไม่เกินกว่า 1เดือน

จากกฎหมายที่แก้ไขใหม่ทำให้ความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถือว่าอยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวทั้งสิน และกฎหมายใหม่ยังให้อำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวออกคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเด็ก หรือสามีภริยาที่เป็นบุคคลในครอบครัวให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองและ ให้อำนาจศาลไปไกลถึงให้อำนาจศาลในการออกหมายจับมาขังเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองด้วย ซึ่งถือว่าสภาพบังคับดังกล่าวนี้จะทำให้ผู้ที่ชอบกระทำความรุนแรงในครอบครัวเกิดความกลัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้นเมื่อมีกฎหมายให้ความคุ้มครองแล้ว ประชาชนทุกคนควรใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่าเห็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องครอบครัวใครครอบครัวมันอีกต่อไป ควรช่วยกันสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคมในทุกครอบครัว...ด้วยความห่วงใย

ที่มา : วิชาการดอทคอม